Thor: Love and Thunder (ชื่อไทย: ธอร์ ด้วยรักและอัสนี) เป็นหนัง super hero Thor ภาคที่ 4 และเป็นหนังลำดับที่ 29 ของ Marvel Cinematic Universe มันเป็นหนังที่โคตร Hype สุดๆ หลังจากที่ ภาค 3 (Thor: Ragnarok) ประสบความสำเร็จสุดๆ เรียกได้ว่าคืนชีพให้ Thor หลังโคตรแป่กใน Thor: The Dark World เลย ส่วนภาคนี้จะเป็นยังไงก็มาดูกัน
ภาพประกอบจากเพจ Marvel Thailand
Thor: ด้วยรักและอัสนีเล่าเรื่องราวต่อจาก Avengers: Endgame เมื่อ Thor ฝากเมือง New Asgard ให้ Valkyrie ดูแล้วแล้วตัวเองก็ออกไปผจญภัยในอวกาศกับทีม Guardians of the Galaxy ในระหว่างการผจญภัย เขาได้รับข้อความขอความช่วยเหลือจาก Sif ว่าเหล่าทวยเทพแห่งดาวต่างๆ โดน Gorr “ผู้สังหารเทพ” ไล่ฆ่าเสียเหี้ยน เขาจึงพาเธอกลับมารักษาตัวที่ New Asgard และได้พบกับ Jane Foster คนรักเก่าซึ่งปัจจุบันคือ Mighty Thor ผู้ถือค้อน Mjolnir ของเขา ขณะเดียวกับเจ้า Gorr ก็บุกมาโลกด้วยเหตุผลบางอย่างครับ
- Love and Thunder นี่ก่อนไปดูแล้วรู้สึกว่าหนังมันแบ่งเป็นสองกระแสมากเลยนะ (อีกแล้ว) พอไปดูเองแล้วก็เข้าใจล่ะว่าทำไม
- มันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้ควรจะเป็นภาคที่ดีที่สุดได้ ไม่ว่าจะเรื่องประเด็นศรัทธาต่อเทพเจ้า (หรือผู้มีอำนาจ) ที่นอกจากจะไม่คิดจะช่วยเหลืออะไรเราแล้วยังเรียกร้องให้เราเสียสละทุกอย่างให้อีก (ผมกำลังพูดถึงเทพเจ้าในเรื่องอยู่จริงๆ นะ), การเสื่อมถอยและหลงมัวเมาในอำนาจของเทพเจ้า (ย้ำว่าผมกำลังพูดถึงเทพในหนัง) ประเด็นเรื่องความรัก, ประเด็นเรื่องชีวิตชาวแอสการ์เดี้ยนในโลก ไหนจะเรื่องนักแสดงที่ได้ Christian Bale มาเล่นได้ทรงพลังโคตรๆ ส่วน Natalie Portman ก็การันตีฝีมืออยู่แล้ว
- Gorr ที่รับบทโดย Christian Bale นี่เป็นวายร้ายที่เท่โคตรๆ มีปมที่น่าสนใจและน่าสงสาร พลังและวิธีการต่อสู้ก็เจ๋งดี (เสียดายที่พลังเต็มๆ ของแกใน Comic นี่ถูกเอามาใช้ใน Hela ไปแล้ว)
- ฉาก Action ก็อลังการงานสร้างตามมาตราฐาน เพลงประกอบของ Guns N’ Roses ก็โคตรเดือด
- แต่เหมือน Taika Waititi จะมันมือไปหน่อย คือรู้ว่าจุดแข็งสมัย Ragnarok คือพวกมุขตลกโบ๊ะบ๊ะที่ใส่แบบไม่ยั้งในจังหวะที่คาดไม่ถึง พอ Love and Thunder พี่แกเลยจงใจยัดมาซ้ำๆ เรี่ยราดแบบให้ขำจนล้นและเฝือไปเลย ไอ้ที่ขำก็มีแต่ที่แป่กอ่ะเยอะกว่า แล้วพอยัดเยียดฉากขายขำมาดูแบบออกว่าตั้งใจเกินไป มันกลายเป็นบดบังข้อดีในเรื่องหมดเลย
- ภาคที่แล้วมี Character Development ทั้งตัว Thor เองที่ก้าวข้ามคนที่มองหาแต่ค้อน Mjolnir มาเป็นเทพเจ้าสายฟ้าที่เชื่อมั่นในพลังตัวเอง, Loki กับ Redemption Arc หรือประเด็นโคตรเจ๋งอย่าง Asgard ไม่ใช่สถานที่แต่คือผู้คน แต่ภาคนี้ตัวละครไม่มี Character Development อะไรเลย อยู่ๆ ก็คลี่คลายแบบงงๆ โดยเฉพาะ Thor ที่กลับไปพึ่งอาวุธอีกล่ะ (อันนี้ต้องโทษ Infinity War) ประเด็นความรักก็จริงๆ ดู Thor มันไม่ได้ช้ำรักนะ มันดูหลงตัวเองมากกว่า – -“
- ดูๆ ไปก็เหมือนกับทำซ้ำภาค Ragnarok ไม่ว่าจะมุขตลก, ฉากต่อสู้หรือเพลง แค่เปลี่ยนตัวร้ายกะเพิ่มนางเอกมาเฉยๆ
- ในแง่ความเป็นหนัง MCU มีข้อดีตรงไม่ต้องดู Series Disney+ หรือเรื่องอื่นมามากนัก ดูแค่ Thor ภาคเก่าๆ กับ Infinity War + Endgame มาก็พอ ประเด็นที่ทิ้งไว้ก็ปูเฉพาะไปภาคต่อของ Thor เอง ไม่กระจายไปทั้งจักรวาลมากนัก
- ถึงจะบ่นเยอะ แต่มันก็มีองค์ประกอบที่ผมรู้สึกว่ามันดูเอามันได้อยู่นะ ซึ่งมันก็ตามสูตรหนัง MCU อ่ะ
ภาพประกอบจากเพจ Marvel Thailand
สรุปแล้วสำหรับผม Thor: Love and Thunder มันเป็นหนังดูเพลินๆ เอามันส์ได้นะ ดีกว่า The Dark World หรือ Iron Fist แน่นอน แต่เสียดายฝีมือ Taika Waititi ที่ทำไว้ใน Ragnarok กับ Jojo Rabbit อ่ะ