สรุปทริปฮอกไกโด-โตเกียว 2019

เมื่อวันที่ 29 มีนาถึง 6 เมษาที่ผ่านมาผมไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นมาครับ รอบนี้บินไปเที่ยวฮอกไกโดแล้วนั่งรถไฟชินคันเซ็นลงมาเที่ยวโตเกียวต่อครับ จุดประสงค์แรกของครั้งนี้คืออยากจะนั่งรถไฟข้ามภูมิภาคในญี่ปุ่นเท่านั้นเอง จุดประสงค์รองลงมาคือเที่ยวที่ๆ ตัวเองพลาดไปในครั้งก่อนๆ โชคดีของรอบนี้คือทันซากุระบานที่โตเกียวพร้อมๆ กับทันช่วงหน้าหนาวที่ฮอกไกโดพอดี รอบนี้ผมไปกับเพื่อนอีก 3 คนแต่แยกกันเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ (อีกสามคนนั่งรถไฟไปเที่ยวยันคิวชูเลย) ก็เป็นทริปใหญ่ทริปแรกของปี (และเหนื่อยสุดๆ ด้วยครับ)

  • วันที่ 29 มีนาคม:
  • วันที่ 30 มีนาคม:
    • ไปเดินเล่นกับหาข้าวเช้ากินที่ ตลาด Nijo พบว่าเป็นตลาดและมื้อที่แพงไร้สาระไม่คุ้มที่สุดในทริปล่ะ
    • เดินทะลุตลาด Tanukikoji Shopping Arcade ไป Susukino แล้วไปสถานี Sapporo Station เดินย้อนไปถ่ายรูป Former Hokkaido Government Office Building ตอนสายๆ นิดหน่อย
    • กลับไปเข้า museum ตัว Sapporo Clock Tower ไม่คุ้มเท่าไหร่หรอก
    • ไป Sapporo Beer Museum แวะกินเนื้อแกะย่างที่ร้าน Garden Grill ก่อน ในมิวเซียมก็เมาเบียร์เลย
    • ไป Hokkaido Museum of Modern Art แล้วแวะจิบกาแฟทีร้าน いまぁじゆ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กาแฟดีงามมากครับ เสียดายไม่มีเวบ (Update Oct 2019 – ร้านปิดไปแล้ว T^T)
    • กลับมา Sapporo Station แป๊บนึง แล้วแวะไปสวน Maruyama Park แต่ฟ้ามืดแล้วเลยกลับ – -“
    • เดินเล่น Tanukikoji Shopping Arcade กินข้าวร้าน Donabe Hanba-go Hokutosei เดินถ่ายรูปย่าน Susukino
  • วันที่ 31 มีนาคม:
  • วันที่ 1 เมษายน:
  • วันที่ 2 เมษายน:
    • ไปสถานี Hakodate Station นั่งรถไฟไปสถานี Shin-Hakodate-Hokuto Station แล้วนั่งรถไฟ Hayabusa ยาวๆ ไปโตเกียวครับ
    • ลงรถไฟที่สถานี JR Ueno แล้วนั่งรถไฟสาย Yamanote Line ไปสถานี Uguisudani เข้าที่พักที่โรงแรม Cerezo
    • ไปชมซากุระที่ Chiyoda Sakura Festival ที่สวน Chidorigafuchi Park ย่าน Chiyoda
    • เดินชมงานชมซากุระที่ศาลเจ้า Yasukuni
    • นัดเจอ @wiennat ที่ย่าน Shinjuku ไปกินซูชิจานหมุนที่ร้าน Numazuko
    • เดินร้าน Yodobashi สาขา Shinjuku ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นสาขาที่ดีเรื่องกล้องที่สุด เดินทั้งตึกกล้องดิจิตอลและกล้องฟิล์ม กลับที่พัก นอน แฮร่
  • วันที่ 3 เมษายน:
  • วันที่ 4 เมษายน:
  • วันที่ 5 เมษายน:
  • วันที่ 6 เมษายน:
    • เดินเล่นสถานี Ueno กับไปเอาตั๋ว Skyliner ที่ซื้อไว้ล่วงหน้าก่อน
    • เดินเล่นซื้อของย่าน Akihabara มีแวะไป AKB48 OFFICIAL CAFE & SHOP กับ ร้าน Big Camera (เดินตึกเขียว M’sด้วย อิๆ)
    • กินข้าวกลางวันที่ร้าน Isomarusuisan (磯丸水産 ) ย่าน Ueno
    • นั่งรถไฟ Keisei Skyliner จากสถานี Keisei Ueno Station ไปสนามบิน Narita Terminal 2
    • หาข้าวกินในสนามบินั่นแหละ แล้วก็นั่ง AirAsia X กลับไทยโดยสวัสดิภาพ

Blog:
พาเที่ยวงาน Nogizaka46 Art Work ~ Almost Everything ~
สะพายกล้องเที่ยวทิพย์เมืองโตเกียว: Teamlab Borderless

ทริปนี้เป็นการไปญี่ปุ่นรอบที่ 5 ของผมซึ่งแบ่งเป็นการไปฮอกไกโดรอบที่ 2 กับโตเกียวรอบที่ 2 อีกทีหนึ่ง ทริปนี้ถือเป็นการเที่ยว “ข้ามภูมิภาค” ของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกของผมเช่นกันเพราะปกติจะไปภูมิภาคเดียวหรือเมืองๆ เดียว แต่รอบนี้ล่อไป 3 เมือง 2 ภูมิภาคเลย การเดินทางระหว่างเมืองก็ใช้การนั่งรถไฟทั้งหมดด้วย JR East-South Hokkaido Rail Pass ซึ่งครอบคลุมทั้ง JR Hokkaido Lines กับ JR East Lines ครับ ใช้ได้ 6 วันแบบไม่ต่อเนื่องกันภายใน 14 วัน พวกตั๋วรถไฟต่างๆ รวมถึงรถไฟชินคันเซนก็จองล่วงหน้าได้ที่เวบ /www.eki-net.com อันไหนไม่ต้องจองก็ถือ JR Pass เดินขึ้นได้เลย สะดวกสุดๆ รถไฟบ้านเขาสะอาด, มีป้ายบอกสถานีชัดเจน, ติดแอร์ด้วยและตรงเวลามากๆ เราดูเวลาและเที่ยวรถไฟได้ทั้งจาก Google Map และ Hyperdia ได้เลย

ส่วนการเดินทางภายในเมืองผมเลือกนั่ง Subway หรือ Tram เป็นหลักครับทั้ง Sapporo Subway, Hakodate Tram & Bus ซึ่งผมใช้บัตรเติมเงิน IC Card ประจำภูมิภาคฮอกไกโดที่ชื่อ Kitaca สลับกับพวกตั๋ว 1 Day pass เอา เจ้า Kitaca นี่ใช้ได้ทั่วประเทศนะครับ เพียงแต่ถ้าจะ Refund ต้องคืนที่ฮอกไกโดเท่านั้นเองซึ่งผมลืมคืนก็เลยใช้ต่อยาวมาตอนนั่ง Tokyo Metro และ Toei Subway ที่โตเกียวเช่นกัน ส่วนรถสาย JR เช่น Yamamote Line นั้นใช้ JR Pass ได้อยู่แล้ว การเดินทางในเมืองก็สะดวกดี มีแผนที่ มีป้ายชัดเจนเลยครับ

รอบนี้เป็นทริปที่เจอสภาพอากาศทั้งหนาวสุดๆ ระดับเลขหลักเดียวหิมะตกที่ฮอกไกโดจนมาถึงอุ่นๆ เย็นสบายๆ ที่โตเกียวผมก็เลยเตรียมเสื้อไปเยอะหน่อยเพื่อรับมือกับอากาศหลากหลาย แต่ก็ไปเจอว่าที่โตเกียว อากาศเย็นผิดปกติมากๆ อยู่สองวันเหมือนกันจนไม่ได้เตรียมตัว ส่วนอากาศหนาวสุดก็ไม่ได้เตรียมไปสุดจริงๆ พลาดที่ไม่ได้เอาถุงมือไป ไปหาซื้อที่โน่นก็ไม่มี ส่วนที่โตเกียวก็พลาดที่ไม่มีเสื้อกันหนาวระดับกลางๆ ติดตัวไปด้วยก็เลยเหมือนกันครับ (มีแต่กันหนาวระดับเลขหลักเดียวกับเสื้อนอกบางๆ เฉยๆ คือไม่ร้อนไปเลยก็หนาวไปเลยสำหรับอากาศโตเกียวช่วงนั้น) ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์สำหรับทริปต่อๆ ไปได้ดีเลย

โชคดีอย่างหนึ่งของทริปนี้คือไปทันช่วงซากุระบานที่โตเกียว พอดีครับ ก็ได้ไปดูมา 3-4 ที่ๆ คนเขานิยมไปกัน ก็สวยสมคำร่ำลือจริงๆ ผมชอบที่ Chiyoda Sakura Festival กับที่ Ueno Park (ตอนเช้าๆ) มากที่สุดล่ะ ส่วนที่แม่น้ำเมกุโระจริงๆ ก็สวยมากแต่ว่าคนมันเยอะมากเกินไปจนไม่สนุกเท่าไหร่ ของย่านนั้นก็อัพราคาจนขายแพงบ้าเลือดด้วย

ทริปนี้นอกจากตั้งใจจะนั่งรถไฟชินคันเซนจากฮอกไกโดลงมาโตเกียวแล้วอีกอย่างคือตั้งใจจะเก็บที่เที่ยวที่ยังไม่เคยไปในเมืองต่างๆ ให้ครบ, เดินพิพิธภัณฑ์เยอะๆ รวมไปถึงเที่ยวแบบช้าๆ นั่งแช่ร้านกาแฟแบบญี่ปุ่นนานๆ ซึ่งเอาเข้าจริงก็ยังเก็บที่เที่ยวที่อยากไปไม่ครบ ส่วนพิพิธภัณฑ์ไอ้ที่อยากไปหลายที่ก็ดันปิดวันที่ว่างพอดี สำหรับนั่งแช่ร้านกาแฟ เดินน้อยๆ เที่ยวช้าๆ นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ตารางรัดติ้วจนแทบไม่มีเวลาเลย เดินเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนเดิม T^T ยังดีที่ได้ลองร้านกาแฟเยอะดี รู้สึกโอเคกับกาแฟญี่ปุ่นขึ้นมาเยอะเหมือนกัน ส่วนอาหารการกินก็ไม่ได้ตาม Tabelog สักเท่าไหร่ เล็งดูร้านไหนน่ากินกับคนเยอะผมก็เข้าเลยแหละ ทั้งทริปมีผิดหวังแค่ที่ตลาด Nijo ซึ่งราคาแพงเกินคุณภาพไปมากโขอยู่มื้อเดียวแหละครับ

Internet ผมก็ใช้ Sim2fly เหมือนเดิมครับ ใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาอะไรทั้งที่ฮอกไกโดกับโตเกียว พวกตั๋วต่างๆ หรือ JR Pass รอบนี้ผมซื้อล่วงหน้าจากเวบ Klook ก็สะดวกดีทั้งหมดยกเว้นที่ Sapporo TV Tower ที่เขาไม่ได้แสกน QR Code แต่ใช้เชคจากชื่อที่จดไว้แทน มีตั๋วงาน Nogizaka46 ART WORKS ที่ผมไปซื้อตั๋วที่ร้าน Lawson ก็เรียกพนักงานมาช่วยดูได้ตอนกด ก็ถือว่าโอเคครับ

สำหรับโรงแรมนั้น ที่ Hotel Relief Sapporo Susukino ถือว่าดีเลย ทำเลดี ร้านสะดวกซื้อ อยู่ใกล้ Susukino แบบเดินถึง (10 นาที) ส่วนที่ Share Hotels Hakoba Hakodate ถือว่าเป็นโรงแรมที่ดีสุดในทริปเลยแม้จะเป็น Hostel ห้องสะอาด สวย net แรง อยู่ใกล้ Red Brick Warehouse แบบเดินถึง แต่ข้อเสียคือไม่มีร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ เลย มีแต่บ้านคน ที่สุดท้ายคือ Cerezo Hotel ที่เป็น Cheap Business Hotel กลางย่านม่านรูด ถ้าไม่ติดอะไรตรงนี้ก็ถือว่าโอเคครับ มีร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ อยู่ใกล้สถานีรถไฟแบบเดินไม่ไกลนัก ห้องสะอาดดีแม้ว่าอะไรหลายๆ อย่างจะ low tech ไปหน่อยเช่นกุญแจห้องยังเป็นแบบกุญแจที่ต้องฝาก reception ไว้ ที่ผมไม่ชอบที่สุดคือแม่งไม่ให้ออกข้างนอกหลังตี 1 ก็เลยออกไปซื้อของร้านสะดวกซื้อไม่ได้เท่านั้น


เมา


เมา 2

บรรยากาศการเที่ยวก็ดีครับ ปลอดภัยดีและมีป้ายภาษาอังกฤษบอกตลอด ผู้คนพูดภาษาอังกฤษได้เป็นส่วนใหญ่ (ที่เจอพูดไม่ได้คือพนักงานวัยรุ่นในโตเกียว…) หรือพูดไม่ได้ก็พยายามช่วยเราแหละ การเดินทางห้องน้ำห้องท่าก็สะดวกดี ยิ่งซัปโปโร่นี่เที่ยวง่ายเพราะว่ารถไฟเขาไม่ได้ซับซ้อนอะไรแต่ผมก็ยังเที่ยวไม่หมดอยู่ดี ส่วนฮาโกะดาเตะนี่เที่ยวหมดแล้วแต่ก็ยังสงสัยว่ามันมีที่เที่ยวแค่นั้นจริงๆ เหรอ สำหรับโตเกียวก็ยังเป็นเมืองใหญ่ที่วุ่นวายสุดๆ ที่เที่ยวก็เยอะสุด จะไปเมืองอื่นๆ ในภูมิภาค Kanto ก็ง่ายกว่าที่ผมคิดเยอะเลย

สิ่งที่ประทับที่สุดในทริปนี้คือไปตลาดเช้าฮาโกะดาเตะ แล้วเจอแม่ค้าที่ตัวเองขอถ่ายรูปไว้เมื่อ 6 ปีก่อน พอเอารูปที่ถ่ายไว้ให้ดูแล้วดีใจกันทุกคนเลย ทุกท่านยังแข็งแรงและใจดีเหมือนเดิมเลย กลับมาผมเลยพิมพ์รูปแล้วส่งให้ไปพวกท่านทางไปรษณีย์พร้อมแนบจดหมายที่ฝากเพื่อนช่วยแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นไปให้ด้วยครับ

สรุปแล้วก็ยังเป็นทริปที่ประทับใจ โหด มัน ฮา หนาว ของหาย ถ่ายรูปมาเยอะมาก (เกินไป) ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่เที่ยวง่าย สะดวก แต่ต้องวางแผนดีๆ เช่นเดิม ถ้ามีทริปหน้าอีกก็ขอไปจังหวัดหรือภูมิภาคอื่นๆ ที่ยังไม่เคยไปบ้างละกัน

ป.ล.
– ค่าใช้จ่ายทั้งทริปแบบไม่รวมที่รูดบัตร = 91,000 เยน (ปัดเลขกลมๆ นะ) = 26394.5 THB
– ค่าเครื่องบิน THB = 5518 (ขาไป) + 10657.49 (ขากลับ)
– ค่าโรงแรม THB = 3099.84 (ซัปโปโร่) + 3400.48 (ฮาโกะดาเตะราคา 4 คน) + 7,423.76 (โตเกียว)