ข้อคิดจากชีวิตการทำงาน 10 ปี

เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบชีวิตการทำงานปีที่ 10 ของผมพอดี นั่งนึกย้อนไปว่าตัวเองทำงานมา 10 ปีแล้ว (แม่มแก่จริงๆ) นึกถึงเพื่อนๆ ที่รู้จักกันที่ทำงานแรก ที่ทำงานที่ 2 และที่ทำงานปัจจุบัน

ในโอกาสนี้เลยอยากจะแชร์สิ่งที่ผมได้จากชีวิตการทำงาน 10 ปีของผม ถือว่าเป็นข้อคิดจากรุ่นพี่ถึงน้องที่เพิ่งจบหรือทำงานปีแรกก็ได้ เพราะคนที่ทำงานมาสัก 2 – 3 ปีคงซึ้งไอ้พวกนี้ดีอยู่แล้ว

  1. วิธีการขึ้นเงินเดือนที่เร็วที่สุดคือการย้ายงาน ไม่ใช่ขึ้นตำแหน่งในบริษัทเดิม
  2. ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด บริษัทไม่รักคุณเท่าครอบครัวของคุณหรอก
  3. อย่าทำงานจนละเลยสุขภาพของตัวเอง
  4. ไอ้คนที่พูดแต่เรื่องให้คุณเสียสละทุกอย่าง ถวายตัวกับงาน office คือบ้าน ต้องกลับดึก ฯลฯ , พูดเรื่อง company loyalty/spirit/team work ซ้ำไปซ้ำมา คือคนที่หลอกใช้คุณเพื่อความเจริญของเขาเอง
  5. คนที่เจริญได้เพราะนำเสนอ+ทำ powerpoint+สรุปงานเก่ง แต่ทำงานไม่ได้เรื่องเหี้ยอะไรเลยมีอยู่จริง คุณเหนือกว่าพวกเค้าได้ด้วยการทำงานให้เก่งด้วย+present ตัวเองเก่งด้วย
  6. ควรเก็บออมเงินตั้งแต่ปีแรกของการทำงาน เพราะปีแรกของการทำงานคุณจะสนุกกับการใช้เงินจนลืมเก็บตังค์
  7. ผมเคยทำงานแบบถวายหัวชนิดทิ้งทุกอย่าง ทิ้งบ้านทิ้งครอบครัว ทิ้งเพื่อนฝูง เพื่องาน เพื่อลูกค้า เพื่อบริษัท สุดท้ายผมก็ได้เรียนรู้ว่าผลตอบแทนที่ได้รับไม่ว่าจะเป็นเงิน ลมปาก เหล้า-เบียร์ฟรี ข้าวฟรี มันชดเชยสิ่งที่ผมเสียไปไม่ได้เลย
  8. ตอนคุณไปคุยเรื่องขอลาออก ถ้าเค้า offer ตำแหน่งให้ถ้าคุณอยู่ต่อ นั่นเป็นเรื่องโกหก 100% คุณอยู่ต่อคุณก็ไม่ได้ขึ้นตำแหน่งหรอก
  9. ความสามารถในการขวนขวายหาความรู้ด้วยตัวเองและกล้าที่จะลองผิดลองถูก จะช่วยให้คุณไปได้ไกลกว่าไอ้พวกงอมืองอเท้ารอคนอื่นมาสอน
  10. เพื่อนร่วมงานมีทั้ง “เพื่อน” และ “คนรู้จัก” อย่าไปขาดหวังว่าทุกคนจะเป็นเพื่อนที่จริงใจกับคุณ
  11. จงพยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆ นอกเหนือจากอะไรที่เกี่ยวกับงานที่คุณทำอยู่เสมอ หลายๆ อย่างที่คุณไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวกับงาน มันสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้
  12. ภาษาอังกฤษสำคัญมาก
  13. จงใช้วันลาพักร้อนให้เต็มที่ อย่าเกรงใจ มันเป็นสิทธิ์ของคุณ
  14. Meeting Kills productivity ประชุมออกมางานแม่มก็ต้องเสร็จอีก สัด
  15. ความอดทน ใจเย็น สำคัญมาก จงหัดทำหน้ายิ้มแต่ด่าไอ้เห้ในใจไว้

32 thoughts on “ข้อคิดจากชีวิตการทำงาน 10 ปี

  1. “วิธีการขึ้นเงินเดือนที่เร็วที่สุดคือการย้ายงาน ไม่ใช่ขึ้นตำแหน่งในบริษัทเดิม”

  2. คนเขียนนี่ช่างมองโลกในแง่ร้าย แสดงว่าไม่มีความสุขกับงานที่ทำเลยหรือ
    เราสามารถทำให้การทำงาน กับการใช้ชีวิตมัน balance กันได้นะ

  3. – กูถึงย้ายงานทุก ๆ 3 เดือนไง เพื่ออัพเงินให้สูงเร็ว ๆ เพราะอยู่แต่ละที่ขึ้นทีน้อยมาก แต่สูงไปแม่งหางานใหม่ยากอีก สัด
    – เรื่องครอบครัวสำคัญที่สุดนี่จริง ๆ เพราะครอบครัวเสียไปเราหาคืนไม่ได้ แต่งานหาใหม่ได้
    – ประชุมนี่มันทำลายทุกอย่างจริง ๆ ยิ่งประชุมที่เอาเราเข้าไปนั่งให้กำลังใจนี่เห้สัด ๆ เพราะไม่ได้ทำงานตัวเอง ออกมางานก็ต้องเสร็จ บางทีแม่งลากไปประชุมกับลูกค้า ซะไกลถึงนิคมอุตสาหกรรม แต่ไม่มีบทให้กูพูดสักคำ ตกลงมันเห้อัลไล
    – เรื่องลาออก แล้วโดน offer นี่เพิ่งโดน พบแล้วว่า แม่งไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กู Suffer เหมือนเดิม
    – คน Present เก่งแม่งโตไวจริง ๆ

  4. สำหรับผม บ้างข้อเป็นจริงแล้วกับ ชีวิตผมครับ ข้อ 3,6,11,12,15(ผมทำงานมา 3ที่ และ 3บริษัท)

  5. เห็นด้วยกับบางข้อ ส่วนบางข้อก็ไม่เห็น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมขององศ์กร และสภาพแวดล้อมของบริษัท แต่ละที่ย่อมไม่เหมือนกันและแตกต่างกันอยู่แล้วครับ ^^

  6. ทำงานมาครบ 10 ปี อายุก็น่าจะประมาณ 30 ต้นๆ ชีวิตพึ่งเริ่มต้นครับ ถ้ามองว่าการทำงานมันโหดร้ายแบบนี้ก็คงจะต้องอยู่กับมันไปอีกนาน

  7. นึกออกได้เพิ่มเติมคนทำงาน

    – อย่าเอาตัวเองขอแลกเพื่อบริษัท เช่นเวลาเจ้านายสั่งให้ไปปฏิเสธ ต่อรอง หรือด่าชาวบ้าน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือตัวเองแม่งจะเสียชื่อเสียง ภาพลักษณ์แทน แต่บริษัทหรือเจ้านาย ตัวสะอาดเหมือนเดิม พอเราลาออกไปภาพพวกนี้แม่งติดเราไปทุกที่ แต่ภาพบริษัทกับไม่เป็นอะไร สัด

  8. ลองมองมันในมุมใหม่ๆ ดูครับ ทุกอย่างมีดีและไม่ดี ถ้าให้สิ่งดีๆ เป็นเหมือนรางวัลชีวิต ก็ต้องรู้จักให้สิ่งไม่ดีเป็นบทเรียนชีวิตอีกด้านมุมหนึ่งด้วยครับ.. สู้ๆๆ นะครับ ^____^

  9. ต้องดูกันต่อไป หนทางการทำงานยังอีกไกลนัก 😉

  10. สนใจอะไร จุดยืนอยู่ที่ตีน ถ้าโดนด่าว่าเปลี่ยนจุดยืน ก็แค่เดินออกมาจากบริษัท

  11. บริษัทดีๆ เจ้านายดีๆก็ยังมีอยู่ครับ แต่บางข้อก็จริงเหมือน โดยเฉพาะข้อ 6 555+

  12. เห็นด้วยหลายๆข้อครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม 😀

  13. อ่านแล้วทำให้นึกถึงหนังเรื่อง ยอดมนุษย์เงินเดือน จริงๆ ผมว่าหนังเรื่องนี้มันตีแผ่สังคมชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆได้ดีมากๆเลยนะครับ ใครยังไม่ได้ดูผมแนะนำเลย เนื้อเรื่องอาจจะงงๆนิดๆแต่โดยรวมถือว่าตรงกับชีวิตมนุษย์เงินเดือนจริงๆ ผมนั่งดูเรื่องนี้แล้วร้องให้เลยครับ ร้องให้จริงๆเลย เพราะมันตรงกับชีวิตคนทำงานมากที่ต้องเจอเรื่องน่าเบื่ออยู่ทุกวันแต่เราก็ต้องทนรับมัน เพียงเพื่อสิ่งที่เรียกว่าเงินเดือน ซ้ำร้ายเรื่องจริงยังแย่กว่าหนังอีกเพราะหัวหน้าดีๆแบบในหนังนั้นหายากมากกๆ ยากมากจริงๆ แล้วถ้าชีวิตเราวนเวียนอยู่แบบนี้ แต่ตำแหน่งยังต๊อกต๋อยอยู่ มันไม่ต่างอะไรกับกรรมกรเลย ลองดูนะครับคุณจะเข้าใจชีวิตคนทำงานมากขึ้น ผมไม่ได้โปรโมทนะครับเพราะผมก็พึ่งได้ดู ขอให้มนุษย์เงินเดือนทุกคนสู้ๆนะครับ

  14. อ่านแล้วก็คิดว่าจะออกไปทำงานบริษัท หรือจะอยู่ต่อเพื่ออะไรหลายๆอย่างดี

  15. การทำงานยิ่งหนักกว่าเดิมยิ่งเพิ่มประสบการณ์แห่งชีวิตก็น่าจะได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น…การเปลีี่ยนงานทำใหม่ให้ต้องกับใจเราฏ้น่าจะทำให้ชีวิตเรามีความสุขขึ้น…นั่นหมายถึงอายุเราจะได้มีชีวิตที่ยืนยาว…แทนเงินเดือนสูงๆๆแต่อายุสั้น…!!!เราจะเลือกวิถีทางใดดี…???

    1. นอกจาก ภาษาอังกฤษแล้ว คอมพิวเตอร์ ก็เป็นอีกอันนึ่งที่เราควรเรียนรู้ให้ได้มากฯ หรือไม่ก็เรียนอะไรก็ได้ที่คนอื่นเรียนได้ยาก ให้ถืงจนเป็นการที่ว่า ขาดเราแล้วเขาไปไม่ได้ แล้วเราจะสะบาย

  16. ทำงาน เป็น
    จะทำงานโดย ไม่รู้สึกว่าทำงาน
    ทำงานด้วยความสุข

  17. มุมมองแคบไปหน่อย
    การทำงานอย่างหนัก โดยนั่งมองแต่การขึ้นเงินเดือน เลื่อนขั้น หรือเฝ้ามองแต่ผู้คนรอบข้าง ที่ต่างก็มีวิธีการเติบโตในแบบ่ต่างๆกันออกไป หากคุณยังเฝ้ามองอยู่แบบนี้ แสดงว่าคุณไม่ได้มีเป้าหมายในชีิวิต และหากยังคงเป็นอย่างนี้ เมื่อวันหนึ่งคุณได้มีโอกาสดีๆ ที่จะก้าวไปในสิ่งที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นการรับคนเข้าทำงานในบริษัทใหญ่ หรือได้ประกอบอาชีพของตัวเอง เมื่อโอกาสมาถึง คุณจะไม่มีความพร้อม เพราะเวลาของคุณเสียไปการมองโลกรอบข้างอย่างแง่ร้าย และเมื่อวันหนึ่งที่คุณเป็นเจ้าของบริษัท คุณอาจจะเข้าใจอะไรๆมากขึ้น
    สังคมเลวร้าย ถ้าเราอยู่ได้ และอยู่ได้อย่างเข้าใจ จะทำให้คุณแข็งแกร่ง และพร้อมที่จะพบเจอกับทุกสิ่งอย่างในชีวิต เป็นกำลังใจค่ะ..^^

    1. โลกสวยจริงแม่คุณ …. พูดแบบนี้ได้แสดงว่าเป็นพวก present เก่ง แต่ทำงานไม่ได้เรื่อง คอยแต่เอางานคนอื่นมาสรุป แล้วนำเสนอ

      1. ตลกดีคับ จิงหรือป่าวไม่รุ้ รุ้แต่ฮาดี

  18. อย่าคิดว่าที่เขาจ้างคุณเพราะคุณมีฝีมือ หรือคุณเก่ง แต่เขาจ้างคุณเพราะเขาอยากจ้าง ( จะด้วยเหตุผลอะไรก็ได้ร้อยแปดเหตุผล ) และก็เช่นเดียวกันไม่ว่าคุณมีฝีมือ หรือคุณเก่งขนาดใหน เมื่อเขาพอใจ เขาจะเลิกจ้างคุณได้ในทันที เวลาคุณจะลาออกเขาอาจจะอ้างเหตุผลสารพัดเพื่อให้คุณอยู่ต่อ เช่นบริษัทต้องเสียหายมาก คุณดูเป็นคนไม่รับผิดชอบ เพื่อนร่วมงานที่เหลือต้องเดือดร้อนกว่าจะหาคนใหม่ได้ และ…………อีกมากมาย จนคุณอาจจะรู้สึกผิดที่ลาออกเลยต้องอยู่ต่อ และคุณอาจอ้างเหตุผลสารพัดที่ต้องเดือดร้อนถ้าถูกให้ออก ลูกต้องเรียน บ้านต้องส่ง พ่อแม่ลูกเมียต้องเดือดร้อน แต่เขาจะบอกคุณข้อเดียว ” ผู้บริหารได้พิจารณาและตัดสินใจแล้ว ” แล้วคุณก็ตกงาน

    ลองคิดสักนิดหนึ่ง เมื่อคุณเริ่มทำงานคุณคิดว่าทำงานเพื่อตัวเองและครอบครัว แล้วปัจจุบันคุณมีเวลาให้ครอบครัวแค่ใหน

  19. ขอบคุณที่เขียนบทความให้อ่าน มันส์ดีครับ

  20. ชีวิตมันก็แค่นี้แหละ มนุษย์เงินเดือนทำจนแก่ก็ไม่รวย เจ้าของธุระกิจหรือกิจการส่วนตัวเท่านั้น แต่ทำไงได้เกิดมาก็คิดแต่ว่าเรียนให้สูงๆโตขึ้นจะได้ทำงานดีๆ55+ทำงาน จ-ส ให้ตายเถอะ แต่เจ้าของธุรกิจหรือกิจการส่วนตัวอย่างว่างวั้นไหนก็ว่างเที่ยวกินสบายใจ ให้จบ ด.ร ด้วยไม่มีทางรวยเท่าพวกมีธุรกิจส่วนตัวหรอกถ้าสมองมองแต่งานกับงาน อ่านแล้วลองคิดดูว่ามันจริงไหม สรุปได้ว่างานยังไงก็เป็นขั้นแรกทำงานได้มาเก็บๆมองหาธุรกิจที่ชอบแล้วลงมืออย่ายึดติดกับคำว่า…งาน…

  21. 1.งาน=ขี้ค่า 2.กิจการส่วนตัว=เจ้านาย / นายจ้าง
    แต่คำที่1.มักเป็นแรงผลักดันให้คนๆนั้นมีคำที่2.ถ้าไม่ยึดติดแต่คำว่า งาน หรือ พนักงานบริษัท
    จะบริษัท เล็ก หรือใหญ่มันก็ไม่พ้นคำที่ 1.

Leave a reply to thitipat Cancel reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.