The Raid 2: Berandal

The Raid 2: Berandal เป็นภาคต่อของหนัง action สัญชาติอินโดนีเซียที่โคตรมันสสสสสสส์อย่าง The Raid: Redemption (ผมรีวิวไว้ที่ exteen.com) มันเป็นหนึ่งในหนังที่ผมตั้งตารอมากที่สุดของปีนี้เลยครับ

The Raid 2: Berandal

The Raid 2 เล่าเรื่องราวต่อจากภาคแรกครับ เพื่อที่จะหนีการเชคบิลจากวีรกรรมในภาคแรก+กำจัดเหล่าแกงค์มาเฟียที่ครองเมืองอยู่ไปพร้อมๆ กันพระเอกเราเลยต้องแฝงตัวเข้าไปอยู่ในแกงค์มาเฟียเพื่อสืบหาหลักฐานเอาผิดที่จะโยงไปยังตำรวจที่รับสินบนจากแกงค์นี้ได้

The Raid 2 นั้นขยายเรื่องราวจาก “เรื่องเล็กๆ ที่แคบๆ” ในภาคแรกไปเป็นแนวๆ The Godfather หรือ The Infernal Affairs ที่มีฉากต่อสู้มือเปล่าสุดมันส์+ฉากยิงกันระห่ำเมืองสุดๆ แทน ซึ่งตรงนี้ต้องขอชมว่ามันไม่ได้ทำตัวหนังสนุกน้อยลงเลยครับ มีหลุดบ้างนิดหน่อยแต่โดยรวมและบทแน่นกว่าเดิมเยอะโดยที่ฉาก action ไม่ได้น้อยลงเลย ฉากต่อสู้ในเรื่องไม่ว่าจะเป็นมือเปล่าหรือใช้อาวุธเจ๋งขึ้น, หลากหลายขึ้นและรุนแรงขึ้นเยอะ ตัวร้ายก็ดูมีสีสันมากขึ้น เนื้อเรื่องก็หดหู่สุดๆ ครับ

ข้อด้อยของภาคนี้ก็มีบ้างครับ อย่างเรื่องบรรยากาศกดดันที่มีในภาคแรกหายไปเยอะ (เพราะเนื้อเรื่อง+พื้นที่เปิด) และฉาก Boss Fight ที่ผมว่าแม้จะเจ๋งดีแต่ก็สู้ภาคแรกไม่ได้อยู่ดี อันสู้กับ Mad Dog ในภาคแรกนั้นทั้งเจ๋งทั้ง Epic สุดๆ กว่านี้ครับ ข้อเสียสุดท้ายที่คิดว่าเป็นเฉพาะในไทยคือภาคนี้ฉายแต่พากษ์ไทยโดนพันธมิตรครับ ซึ่งพี่แกยังคงสไตล์เดิมคือพยายามจะแทรกมุขตลกแบบไม่ดูห่าเหวอะไรเลยเหมือนเดิม พยายามจะตลกในหนังจริงจังแม่งทุกฉากจนเสียอารมณ์เลย อ้อ ในแง่ที่จะเทียบชั้น The Godfather หรือ The Infernal Affairs ผมว่ายังเทียบไม่ได้นะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เป็นข้อด้อยอะไร

สรุป The Raid 2: Berandal สนุกโคตรๆ มันส์โคตรๆ มันคือหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ปรัญชา ปิ่นแก้ว, พันนาและจา พนมควรไปดูซ้ำสัก 4 – 5 รอบเพื่อให้รู้เพื่อนบ้านเค้าไปไหนกันแล้ววว

X-Men: Days of Future Past

X-Men: Days of Future Past เป็นภาพยนต์ใน series X-Men ตอนล่าสุดแถมยังเป็นภาคที่เชื่อมระหว่างไตรภาคแรก, The Wolverine (ตอน end credit) และ X-Men: First Class เข้าด้วยกันครับ

X-Men: Days of Future Past

X-Men: DOF ดัดแปลงมาจากการ์ตูน X-Men ตอน Days of Future Past ที่วาดตั้งแต่ปี 1981 โน่นเลยครับ เนื้อเรื่องจะต่อจาก The Wolverine (ซึ่งก็ต่อมาจาก The Last Stand อีกทีนึง) เล่าถึงเรื่องราวในอนาคตที่ mutant และมนุษย์ที่ให้ความช่วยเหลือ mutant ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยหุ่นยนต์พิฆาต Sentinal จนโลกกลายเป็นดีสโทเปียที่ถูกปกครองโดยหุ่น Sentinal อีกที กลุ่ม X-Men ที่เหลืออยู่นำโดย Professor Charles Xavier และ Magneto จึงต้องใช้พลังของ Kitty Pryde ส่ง Wolverine ย้อนเวลากลับไปช่วงเวลาหลังเหตุการณ์ First Class เพื่อหยุดยั้ง Mystique ไม่ให้กระทำบางอย่างที่จะส่งผลให้เกิดการผลิต Sentinal ขึ้นไล่ฆ่า mutant ครับ

ภาคนี้ได้ผู้กำกับคู่บุญอย่าง Bryan Singer กลับมารับหน้าที่อีกครั้งครับ ตัว Bryan เองก็เหมือนจะรู้ตัวว่าก่อนหน้านี้ยัดดราม่าแบบหนักข้อไปหน่อย ภาคนี้เลยตัดดราม่าเสียเหี้ยน หรือแต่ action – scifi ล้วนๆ ก็เลยทำให้หนังดูสนุกกว่าไตรภาคแรกเยอะเลย มีทั้งตลก บู๊ ลุ้นระทึก หักมุม ครบทุกรสเลย หนังยังเน้นสานต่อเรื่องราวของตัวละครจาก First class ทำให้เราเห็นความต่างกันทางแนวคิดของ professor X, Magneto และ Mystique ชัดเจนซึ่งมีผลต่อการกระทำในเรื่อง

แม้ว่าภาคนี้จะดูสนุกมาก แต่ผมว่ามันยังไม่ฟินเท่า First class ครับ คือใน First class มันยังมีดราม่าที่เข้มข้นและลงตัวกว่าโดยไม่ทำให้หนังไม่สนุกน้อยลง, บทตัวร้ายอย่าง Sebastian Shaw (แสดงโดย Kevin Bacon นั้นเข้มข้นและเจ๋งกว่าบทของ Bolivar Trask (แสดงโดย Tyrion Lannister) มากๆ คือพี่ทีเรียนเราก็เล่นดีนะครับ แต่บทมันไม่ส่งและเราก็ติดกับการแสดงที่ทรงพลัง (กว่านี้) ใน Game of Thrones และอีกอย่างคือหนังไม่ได้ใช้ประโยชน์ของยุคสมัยให้เข้ากับธีมเรื่องแบบตอน First Class เท่าไหร่

แต่สุดท้ายแม้ว่าผมจะชอบ First Class มากกว่าแต่ก็ทำใจยอมรับว่ารายได้มันต่ำเป็นอันดับสองของ series เลย ก็เลยเข้าใจว่าทำไมเขาทำ DOF ออกมาแบบนี้ ซึ่งมันก็ได้ผลดีในแง่หนังดูสนุกง่ายขึ้น เอาใจแฟนๆ คอมมิกมากขึ้นนั่นเอง

สรุป X-Men: Days of Future Past เป็นหนัง Super Heroes ที่ดูสนุก ดูซ้ำได้หลายรอบ คำแนะนำของผมคือควรจำเนื้อเรื่อง First Class, และ X-Men ภาคเก่าให้ได้แล้วจะไม่งงครับ