Life of Pi

Life of Pi เป็นหนังที่กำกับโดย Ang Lee สร้างจากหนังสือของYann Martel สารภาพว่าเคยได้ยินชื่อหนังมาก่อนแล้วสงสัยว่าหนังมันเกี่ยวไรกับ 3.14 วะ จนกระทั่งได้ดูตัวอย่างนั่นแหละ เลยอยากดู

Life of Pi Poster

หนังเรื่องนี้ถึงชีวิตของ Pi Patel (จะเรียกว่าพายละกัน) เด็กชายชาวอินเดียที่บ้านเขาเปิดสวนสัตว์อยู่ที่อินเดีย สมัยเด็กๆ พายมีศรัทธาทั้งฮินดู (น่าจะไวศณพนิยกาย เพราะนับถือพระนารายณ์) , ศาสนาคริสและศาสนาอิสลาม (ทำละหมาดตอนเช้า ก่อนกินเข้าจะสวดมนต์ขอบคุณพระเจ้าและสวดมนต์ขอบคุณพระนารายณ์ก่อนนอน) จนกระทั่งวันนึงเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เค้าสิ้นศรัทธาในเทพเจ้าทั้งหลายไป หลายปีต่อมา ครอบครัวขายย้ายไปประเทศแคนาดาโดยออกเดินทางทางเรือไปกับเหล่าสัตว์ในสวนสัตว์ ปรากฏว่าเรือล่มกลางมหาสมุทธแปซิฟิค เขาหนีขึ้นเรือชูชีพทันอยู่คนเดียวพร้อมๆ กับเสือเบงกอลที่ชื่อ Richard Parker !!! และการเดินทางคน 1 คนและเสือ 1 ตัวก็เริ่มขึ้น พวกเขาต้องเอาตัวรอดพร้อมๆ กับตัว Pi เองที่เริ่มจะฟื้นฟูศรัทธาในพระเจ้า

สิ่งที่ผมติดใจหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ตัวอย่างคือภาพครับ และตัวหนังเต็มๆ ภาพมันก็สวยมากจริงๆ จนเสียดายที่ไม่ได้ดูแบบ 3D คือแบบ 2D ธรรมดาๆ ภาพมันสวยงามกว่า The Hobbit 3D เสียอีก ตัวหนังก็เรื่อยๆ เอื่อยๆ ไม่มี climax อะไรแต่ดูติดพันมาก ลุ้นว่าจะโดนเสือแดกมั้ย ลุ้นว่าจะรอดยังไง แถมยังคาดเดาไม่ได้อีก (อย่าให้ตัวอย่างหลอกเชียวนะ หุๆ) ในหนังเองก็สอดแทรกสัญลักษณ์และความคิดเรื่องการยอมรับและเชื่อในพระเจ้า (จะองค์ไหนก็ตาม) อยู่เต็มไปหมด

ที่แปลกอย่างหนึ่งคือดูหนังแล้วควรจะอยากอนุรักษ์ทะเล (ถ่ายทะเลออกมาได้สวยจริงๆ) แต่ผมดูแล้วอยากอนุรักษ์เสือแทน เสือในเรื่องน่ารัก+เท่+กวนดีมาก (หลายๆ ฉากฮากันลั่นโรงเลย)

สรุปแล้วผมชอบเรื่อง Life of Pi นะครับ อาจจะไม่ซาบซึ้งกับปรัชญาอะไรในเรื่องนัก แต่หนังมันดูสนุกจริงๆ ภาพสวยด้วยครับ ชอบมากกว่า The Hobbit อีก

วาทะเด็ดจากหนัง

I suppose in the end, the whole of life becomes an act of letting go, but what always hurts the most is not taking a moment to say goodbye

The Hobbit: An Unexpected Journey

The Hobbit: An Unexpected Journey เป็นหนังที่สร้างจากนิยายเรื่อง The Hobbit ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกของ J. R. R. Tolkien และหนังสือเล่มนี้ยังกล่าวได้ว่าเป็นปฐมบทของมหากาพย์ The Lord of the Rings

The Hobbit part 1 poster

The Hobbit: An Unexpected Journey เล่าถึงการผจญภัยของในสมัยหนุ่มๆ Bilbo Baggins ลุงของ Frodo (ตัวเอกของ LOTR) เขาเข้าร่วมเป็นคณะเดินทางของ Thorin เจ้าชายแห่งคนแคระ และพรรคพวกคนแคระอีก 13 คนตามคำชวน/บังคับของพ่อมดเทา Gandalf ในการไปทวงเมืองคนแคระคืนจากมังกร้ายนาม Smaug และการผจญภัยนี่เองที่ทำให้ Bilbo ได้พบกับแหวนแห่งอำนาจที่จะแผลงฤทธิ์ใน LOTR

หนังเรื่องนี้เป็นหนังไตรภาคครับ ภาคสองจะชื่อ The Desolation of Smaug ฉายปีหน้า และภาคสาม There and Back Again ปี 2557!!

ก่อนเข้าไปดูก็ได้ยินเสียงบ่นๆ ว่าหนังมันงั้นๆ, Peter Jackson หลงระเริงกับความสำเร็จของตัวเองบ้าง, 48 fps ทำให้ภาพมันดูหลอกๆ เหมือน vdo เกมส์บ้าง (หนังทั่วๆ ไปจะ 24 fps) ผมเองไปดูแบบ 3D รู้สึกว่ามันสนุกเหมือนหนัง LOTR ภาคแรกน่ะครับ คือตอนแรกมันอืดๆ เอื่อยๆ ชวนหลับ แต่กลางๆ จนท้ายเรื่องนี่สนุกดีเลยล่ะ ตัว 3D เองดูแล้วไม่ได้รู้สึกว่าอลังการเท่าไหร่ (Hugo ดีกว่าเยอะ) 48fps ดูแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร – -” ตัวหนังแฝงอารมณ์ขันไว้บ้างนิดหน่อย ทำให้ดูเพลินๆ กว่า LOTR เยอะ แนะนำให้ดู LOTR ก่อนไปดูเพราะมีตัวละครและอะไรหลายๆ อย่างสื่อไปถึง LOTR เยอะมาก

ที่ดูเพลิดเพลินอีกอย่างคือตัวละครเก่าๆ ที่คุ้นจาก LOTR กลับมาไม่ว่าจะเป็น Gandalf, ซารูมาน หรือท่านลอร์ดเอลรอนที่ดูยังติดตาจาก Cloud Atlas อยู่เลย

สรุปแล้วภาค An Unexpected Journey ผมค่อนข้างโอเคนะครับ อย่าลืมว่า LOTR ภาคแรกมันก็แบบนี้และมันก็เริ่มสนุกสุดๆ ในภาค 2 (มีคนไม่รู้ว่ามันแบ่งเป็นหลายภาค แล้วบ่นงงๆ ในโรงเยอะเหมือนกัน) ถ้าทนช่วงเรื่อยเปื่อยชวนหลับตอนแรกๆ ได้ก็สนุกล่ะ

ป.ล. ชื่อไทยเรื่องนี้ควรจะเป็น คนเล็กหัวใจอหังการ์ฝ่าแดนทมิฬ อะไรเถือกๆ นั้นนะ

Cloud Atlas หยุดโลกข้ามเวลา

ผมไม่เคยได้ยินชื่อหนัง Cloud Atlas มาก่อนจนกระทั่งได้ดูตัวอย่างระหว่างรอดู Skyfall แล้วรู้สึกว่า เฮ้ย แม่มเจ๋งว่ะ ต้องดูให้ได้

Cloud Atlas Poster

หนังเรื่องนี้เป็นผลงานของ 2 พี่น้อง Wachowskis (ที่กำกับ The Matrix, อำนวยการสร้าง V for Vendetta, Speed Racer, Ninja Assassin) และ Tom Tykwer (ผู้กำกับ Perfume: The Story of a Murderer) หนังเรื่องนี้สร้างจากนิยายที่แต่งโดย David Mitchell

หนังเล่าถึงเรื่องราวชีวิต 6 ชาติภพตั้งแต่ยุคล่าอณานิคมที่มีการค้าทาสไปมาจนถึงยุคอนาคตที่อารยธรรมสูญสิ้นไปเกือบหมด แต่เจ๋ง (หรืออาจจะไม่เจ๋ง) ก็คือหนังเล่าทั้ง 6 ชาติภพ (หรือ 6 ช่วงเวลา) ไปพร้อมๆ กัน สลับไปสลับมาให้คนดูงงเล่นตลอดเวลา 3 ชั่วโมง

  • กลางมหาสมุทธแปซิฟิคในปี 1849: Adam Ewing ทนายความหนุ่มกลับจากแอฟฟริกาที่เขาไปทำสัญญาซื้อขายทาสมาให้พ่อตา ระหว่างนั่งเรือกลับมีทาสผิวดำแอบขึ้นเรือมาด้วยขอให้เขาช่วย มิตรภาพระหว่างสองคนก่อตัวขึ้นพร้อมๆ กับสุขภาพของเขาที่ย่ำแย่ลงทั้งๆ ที่มีหมอ Dr. Henry Goose คอยดูแลด้วยจุดประสงค์บางอย่าง
  • สก็อตแลนด์ปี 1936: หนุ่มเกย์นาม Robert Frobisher ต้องลาจากแฟนหนุ่ม Rufus Sixsmith ไปสมัครเป็นผู้ช่วยนักแต่งเพลงที่ชื่อ Vyvyan Ayrs (อ่านว่าวิเวียน) ที่แต่งเพลงเองไม่ค่อยจะได้แล้ว พร้อมๆ กับแต่งเพลงเองไปด้วย ระหว่างที่อยู่กับวิเวียน เขาติดบันทึกชีวิตของ Adam Ewing ที่เป็นหนังสือในบ้านนั้นมาก
  • อเมริกาปี 1973: Luisa Rey นักข่าวสาวที่กำลังตามติดความไม่ชอบมาพากลของโครงการโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เธอพบกับ Sixsmith ในวัยแก่ผู้กุมความลับบางอย่างของโครงการนี้ แต่เขาก็โดนนักฆ่าเก็บไปก่อน เธอจึงต้องร่วมมือกับเพื่อนของพ่อของเธอเพื่อเปิดโปงโครงการนี้พร้อมๆ กับรับมือกับมือสังหารสุดโฉดคนนั้น
  • อังกฤษปี 2012: Timothy Cavendish ผู้จัดพิมพ์หนังสือนิยาย เขารับผลประโยชน์เต็มๆ เพราะนักเขียนของเขาจับนักวิจารณ์โยนลงมาจากตึกตาย หนังสือเลยดัง แต่ก็โดนลูกน้องของนักเขียนมาไถตังค์ เขาเลยไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชายเขา แต่ก็ดันโดนหลอกไปอยู่บ้านพักคนชราที่มีนางพยาบาลสุดโหดคุมเพราะเขาก็เคยทำพี่ชายไว้แสบพอกัน และแล้วแผนการแหกบ้านพักคนชราก็เริ่มต้นขึ้น!
  • Neo Seoul ปี 2144: โลกอนาคตที่เราสร้างมนุษย์สังเคราะห์ขึ้นมาทำงานแทนเรา ปกครองโดยพรรค นางเอกเราชื่อ ซอนมี-451 มนุษย์สังเคราะห์สาวที่วันๆ เอาแต่ทำงานเป็นสาวเสิร์ฟในร้านอาหารแล้วก็นอน จนกระทั่งวันที่เธอเจอ แฮจู ชาง หนุ่มมนุษย์แท้ๆ ที่สอนให้เธอรู้จักคุณค่าของตัวเองและสอนให้เธอรู้ความจริงอันแสนชั่วร้ายที่พรรคหลอกทุกคนไว้
  • สักแห่งนึงในโลก ปี 2321: โลกอนาคตที่อารยธรรมเกือบทุกอย่างล่มสลาย ผู้คนส่วนใหญ่ย้อนกลับไปใช้ชีวิตชาวป่าและบูชาเทวีซอนมีเป็นเทพสูงสุด Zachry ชายวัยกลางคนที่ต้องอยู่กับความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้น้องเขยแหละหลานของเขาถูกเผ่ากินคนฆ่าตายต้องต้อนรับ Meronym ตัวแทนจากเหล่า “พรีเชี่ยน” หรือมนุษย์ที่ยังคงอารยธรรมและไฮเทคอยู่ ผู้มาเยือนเกาะนี้ด้วยภารกิจลับ

หนังเรื่องนี้ยาว 3 ชั่วโมงครับ เรียกได้ว่านั่งดูจนปวดฉี่กันไปข้างนึง หนังสลับไปมาพร้อมรายละเอียดให้เก็บเล็กผสมน้อยเยอะมากกก ถ้าหลุดไปสักตอนนึงนี่จะดูไม่รู้เรื่อง เป็นหนังที่แบบว่าไม่รักก็เกลียดไปเลย

ตัวหนังจริงๆ หลายๆ คนบอกว่าเป็นหนังปรัชญา ชาติภพ ต่างๆ แต่ผมเองก็ไม่ได้ดูลึกซึ้งถึงขั้นนั้นนะครับ สำหรับผมแค่จ้องว่าแต่ละตัวละครพอมาอีกยุคนึงมันกลายเป็นใครบ้างก็สนุกแล้วครับ ตอนที่สนุกที่สุดของผมคือตอนปี 2012 แหกบ้านพักคนชรา มันสนุกและฮามากๆ แม้ว่าเนื้อเรื่องจะโดดจากเรื่องอื่นมากเลยก็ตาม ยิ่งเห็น Hugo Weaving มาเล่นเป็นนางพยาบาลนี่ก็ฮาแล้วครับ หนังเรื่องนี้ควรเข้าชิง Oscar สาขาแต่งหน้าครับ พี่เล่นจับดาราคนนู้นมาเล่นเป็นคนนี้ได้เนียนมากกกกกชนิดดูแล้วร้อง เหยดด เลยทีเดียว

หนังยังมีกลิ่นอายของ The Matrix, V for Vendetta มาอย่างจางๆ ทั้งเรื่องเสรีชน-ความเท่าเทียม, การต่อต้านเผด็จการขวาจัดและอำนาจทุนนิยม, ไอเดีย “ผู้จุดประกาย” ความคิดให้เกิดการล้มล้างเผด็จการที่แม้ผู้จุดประกายจะตายไปแต่ความคิดนั้นจะสืบทอดต่อไป ทั้งหมดนี้มีแทรกมาอย่างละนิดหน่อยในบางตอน บางตอนก็เห็นชัด บางตอนก็ไม่มีเลย (ฮาา)

ข้อเสียอันร้ายกาจของเรื่องนี้นอกจากหนังแม่งโคตรพ่อโคตรแม่ยาวแล้วคงเป็นเรื่องแต่ละยุค แต่ละชาติภพที่ไม่เกี่ยวกันสักเท่าไหร่นักครับ มันทำให้การเชื่อมโยงของแต่ละยุคสมัยนั้นไม่ต่อเนื่องกันเท่าไหร่ (ยิ่งทำให้งงกว่าเดิมด้วยซ้ำ) บางเรื่องนี่ผมดูจบไปแล้วยังไม่รู้เลยว่ามันจะสื่ออะไรแล้วมันโยงกับเรื่องอื่นยังไง

สุดท้ายแล้วสำหรับผม Cloud Atlas ก็เป็นหนังที่ดูสนุกนะครับ (เน้นว่าสำหรับผม) อาจจะไม่เหมาะกับคนสมาธิสั้นเท่าไหร่นักนะ
ขอปิดท้ายด้วยวาทะของซอนมี-451 (น่ารักมากก)ครับ:

Our lives are not our own. From womb to tomb, we are bound to others, past and present… and by each crime and every kindness, we birth our future.