Thor: The Dark World

Thor: The Dark World เป็นภาคต่อของหนังเรื่อง Thor ครับ

Thor The Dark World

เช่นเดียวกับ Iron Man 3 The Dark World ก็เล่าเรื่องต่อจาก The Avengers เช่นกันครับ Loki โดนThor จับกลับมาที่ Asgard ได้ 2 ปี Asgard ก็ต้องเผชิญกับศัตรูที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง Malekith แถมยังลากสาวสวยขวัญใจ Thor อย่าง Jane Foster มาซวยด้วยอีกต่างหาก

The Dark World เป็นหนังที่ดูสนุกกว่า Thor ภาคแรกเยอะเลยครับ Action มากกว่า ฮากว่า The Avenger เสียอีก (มึงกลายเป็นหนังตลกไปแล้วใช่ไหม) Loki นี่ขโมยซีนทุกฉาก Natalie Portman สวยโฮกทุกฉาก นางรองสาวแว่นที่น่าสนใจตั้งแต่ภาคแรกอย่าง Darcy ที่แสดงโดย Kat Dennings ก็แหล่มมาก มีบทขึ้นเยอะ ชอบบบบบ ไม่รู้ว่าเพราะเปลี่ยนตัว ผกก เป็น Alan Taylor ที่มีผลงานอย่างหลายๆ ตอนใน Game of Thrones รึเปล่า

สรุป Thor: The Dark World สนุกมากๆ มีอะไรหลายๆ อย่างที่โยงไปยัง Guardians of the Galaxy แน่ๆ ซึ่งน่าจะมีอีกขยักใน The Winter Soldier ครับ

ป.ล.:
– Marvel confirm แล้วว่า Age of Ultron จะไม่มี Loki ใครอยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อก็ต้องรอ Thor 3
– มี End Credit 2 รอบจ้า

สปอย:

Ender’s Game

ผมอ่านหนังสือ Ender’s Game ฉบับแปลไทยจบไปนานแล้ว เป็นหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์+การเมือง+การทหารที่ยอมรับว่าอ่านยาก ไม่ใช่หนังสือที่อ่านสนุก แต่ก็เป็นหนังสือที่ชอบมากๆ เรื่องนึง (เคยเขียน blog ไว้นานแล้ว) พอรู้ว่ามันกำลังจะเป็นหนัง แถมหน้าหนังมันก็ดู action fantasy เหลือเกิน เลยไม่กล้าที่จะคาดหวังกับมันเท่าไหร่

Ender's Game Poster

Ender’s Game เป็นเรื่องราวของ เด็กชาย Andrew “Ender” Wiggin ผู้มีศักยาภาพที่จะเป็นเสนาธิการทหารผู้บัญชาการรบในการปกป้องโลกจากพวกแมลงต่างดาว (เรียกว่า Formics) ซึ่งเคยเกือบจะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์สำเร็จเมื่อ 50 ปีก่อน ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นวิธีการเปลี่ยนเด็กฉลาดๆ นิสัยดีคนนึงไปเป็นสุดยอดผู้นำทางการทหารที่ต้องเป็นที่รักของผู้ใต้บังคับบัญชา อำมหิต เฉียบขาดและพร้อมจะใช้ทุกวิธีทางที่ไปสู่ชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จได้อย่างไรครับ

ก่อนอื่นต้องชมก่อนว่าตัวหนังไม่กลายเป็น action scifi fantasy แบบที่ผมกลัว หนังคงใจความประเด็นทหารเด็กและการตอบโต้กับต่างเผ่าพันธุ์ซึ่งประเด็นหนึ่งของหนังสือไว้ได้ดีตั้งแต่ต้นยันจบ พวกฉากห้องฝึกการรบและเกมจำลองการรบก็ทำออกมาได้ดีมากๆ เห็นภาพที่นึกภาพไม่ออกตอนอ่านหนังสือชัดเจนดีครับ ดูแล้วหดหู่เหมือนตอนอ่านหนังสือ

ที่ต่างกับหนังสือชัดๆ เลยคือหนังตัดประเด็นการเมืองซึ่งเป็นบทบาทของ Peter Wiggin และ Valentine Wiggin บนโลกออกไปหมด มีแค่บท Valentine อยู่บ้านนิดหน่อยในแง่ “ครอบครัว” ที่ Ender คิดถึงแค่นั้น ซึ่งอันนี้ก็พอจะเข้าใจว่าถ้าใส่มันหนังมันจะยาวโคตรแน่ๆ

ข้อเสียก็มีเมื่อเทียบกับหนังสือ (แน่นอน) ว่าหนังแสดงสถานการณ์กดดัน (ที่ถูกจัดฉากและจงใจสร้าง) ของ Ender (เพื่อที่จะฝึกให้เป็นผู้นำทหาร) ออกมาได้น้อยไปหน่อยครับ คือดูกดดันนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ข้ามไปเลย และหนังยังตัดส่วนที่ Ender เชื่อมโยงกับแมลงในเกมไปค่อนข้างเยอะ (มีบ้างนิดหน่อย) ส่วนตัวผมว่าถ้ามีเน้นตรงนี้เยอะกว่านี้ เราจะเข้าใจ Ender ถึงสิ่งที่เขาเจอได้เยอะกว่านี้และเข้าใจเขาในฉากจบได้ดีกว่านี้ครับ

สรุปหนังเรื่องนี้สนุก ไม่ผิดหวัง แม้จะไม่ได้ดั่งใจเหมือนหนังสือ

Escape Plan

Escape Plan เป็นหนังที่จับเอา Sylvester Stallone มาประชันบทบาทกับ Arnold Schwarzenegger เป็นเรื่องแรกๆ แบบเต็มๆ ไม่ใช่มาแบบแอบๆ เหมือนใน The Expendables 1 – 2 การได้เห็นดาราหนัง action รุ่นเราเด็กๆ มาประชันบทบาทกันแบบนี้สำหรับคนรุ่นลุงอย่างผมแล้วมันคือฝันเลยทีเดียว

Escape Plan

หนังเล่าถึง Ray Breslin (Stallone) นักทดสอบระบบรักษาความปลอดภัยของคุกโดยเขาจะปลอมตัวเป็นนักโทษเข้าไปแล้วหาทางแหกคุกออกมาให้ได้ แน่นอนว่าถ้าเขาหาทางแหกไม่ได้ก็จะมีรหัสถอนตัว แต่แน่นอนว่าไม่มีคุกไหนที่เขาไม่เคยแหกได้เลย จนกระทั่งเขารับงานทดสอบ “คุกมืด” ของ CIA ที่ตั้งใจจะขังเขาไปจนวันตาย เขาจึงต้องร่วมมือกับขาใหญ่ในคุกอย่าง Emil Rottmayer (Arnold) เพื่อหาทางแหกคุก

หนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังในฝันของคนชอบหนัง action ยุค 80 – 90 เพราะจับเอาดาราที่เราอยากเห็นมาเจอกันตั้งแต่ตอนเขายังหนุ่มมาเจอกันตอนแก่ -*- เป็นหนังที่ดูสนุก เพลินๆ พอมีทริคมีอะไรนิดหน่อย ไม่มากไม่น้อยเกินไปดีครับ ไม่ใช่เอะอะก็จะบู๊ๆ กันท่าเดียว ถ้าคุณชอบ Stallone หนังเรื่องนี่พี่แกเด่นมากๆ จนเกือบกลบ Arnold ซะมิด แต่ท่านอดีตผู้ว่าการรัฐก็แย่งบทเด่นกลับมาได้อย่างสมศักดิ์ศรีชนิดดูแล้วต้องร้อง “เหยดดด” กันเลยทีเดียวในช่วงท้ายๆ หนังเรื่องนี้ผมว่ามันดูสนุก ลงตัวกว่า The Expendables 1 – 2 อีกครับ

หนังเรื่องนี้เป็นคนละแนวกับ Now You See Me แต่ไม่รู้ทำไมผมดูแล้วอดคิดจับมันมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ว่า Escape Plan สนุกกว่าเยอะ