Night at the Museum: Secret of the Tomb

Night at the Museum: Secret of the Tomb เป็นภาคจบของไตรภาค Night at the Museum ด้วยครับ

หนังภาคนี้เริ่มต้นที่อยู่ๆ สนิมก็ขึ้นแผ่นจารึกแห่งอัคเมนห์รา ทำให้เหล่าผู้คืนชีพในพิพิธภัณฑ์มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจนถึงเผลอๆ จะทำให้กลายเป็นหุ่นขี้ผึ้งไปตลอดกาลด้วย พระเอกของเราและผองเพื่อนจึงต้องไปขอความช่วยเหลือจากมัมมี่พ่อและแม่ของอัคเมนห์ราที่ Natural History Museum ที่อังกฤษโน่นเลยครับ

ออกตัวก่อนว่าผมชอบภาคแรกมากๆ แต่เฉยๆ กับภาค 2 ภาคนี้เลยไม่ได้ตั้งความหวังไว้เท่าไหร่นัก แต่เอาจริงๆ หนังภาคนี้สนุกและตลกกว่าภาค 2 มากครับ มุกต่างๆ ประเคนกันเข้ามาให้หัวเราะกันได้ทั้งเรื่องแบบไม่ต้องคิดมากครับ แถมหนังยังจบดีและสวยงามกว่าที่คิดอีกต่างหาก (คือผมว่ามันจบสวยกว่า The Hobbit 3 แน่ๆ) ดารารับเชิญแม่งก็โคตรฮาาาาาาาาาาาาา (ต้องไปดูเอง) ส่วน Robin Williams ก็เล่นได้ตามมาตราฐาน ดูแล้วก็คิดถึงเลย

ที่ติดอยู่มีเรื่องเดียวก็คือย้ายเรื่องไปเล่นใน Natural History Museum ที่อังกฤษที่ขึ้นชื่อเรื่องของในพิพิธภัณฑ์ทั้งทีน่าจะมีมุขและตัวละครจากที่นี่มากกว่านี้ (แบบภาค 2) แต่ก็เดาว่าเพราะกลัวเรื่องความขัดแย้งกับประเทศเจ้าของของในพิพิธภัณฑ์ (มั้ง) กับคงไม่อยากย้อนรอยภาค 2 ที่มัวแต่เล่นกับตัวละครใหม่ๆ (ใน Smithsonian) จนลดทอนความสนุกของหนังไป

ป.ล. ผมชอบไอเดียที่ปูมาตั้งแต่ต้นเรื่องเรื่องการปล่อยให้คนที่เราดูแลมามีชีวิต (หรืออย่างอื่น) ตามทางที่เขาเลือกเองนะครับ

The Tale of the Princess Kaguya

The Tale of the Princess Kaguya เป็นหนังเรื่องก่อนสุดท้ายของสตูดิโอ Ghibli กำกับและเขียนบทโดย Isao Takahata ผู้สร้าง My Neighbors the Yamadas ครับ

The Tale of the Princess Kaguya poster

Animation เรื่องนี้ดัดแปลงจากตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่นเรื่อง “คนตัดไผ่” เล่าถึงชายแก่ผู้มีอาชีพตัดไผ่ไปเจอเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ในไผ่ปล้องนึงที่เขาตัด เขาเชื่อว่าเธอคือเจ้าหญิงที่สวรรค์ส่งมาจึงพาเธอกลับบ้านไปเลี้ยงในฐานะลูกสาว ซึ่งเธอก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและมีชีวิตที่มีความสุขดี จนกระทั่งพ่อและแม่ของเธอพาเธอเข้าเมืองหลวงเพื่อไปใช้ชีวิตให้สมฐานะเจ้าหญิงซึ่งทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล

ผมสนใจ animation เรื่องนี้ตั้งแต่เห็นตัวอย่างแล้วครับ คือน่าสนใจตรงที่ภาพเหมือนภาพระบายสีน้ำทั้งเรื่อง ซึ่งพอดูจริงๆ แล้วพบว่างานด้านภาพแบบนี้มันสวยและทรงพลังมากๆ ไม่มีอะไรติดขัดเลย ตัวหนังดูแล้วรู้สึกว่าหนังมันสวยงาม ทรงพลังและเศร้ามากๆ คือไม่ถึงกับอิ่มใจแบบ Spirit Away, Totoro (ถึงจะเศร้าแต่ก็ไม่หดหู่แบบเรื่อง the wind rises ) แต่ดูแล้วรู้สึกชอบมาก นอกจากนี้ตัวหนังยังแสดงให้เห็นถึงวิธีชีวิตและวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นในสมัยโบราณเยอะเลยครับ

ตัวหนังยังคงเนิบช้า เรื่อยๆ เอื่อยๆ ตามสไตล์ Ghilib ซึ่งถ้าชอบก็ชอบไปเลยแต่ถ้าไม่ชอบก็จะเข็ดเลยเช่นกัน

สิ่งที่ผมสงสัยระหว่างดูจบ “เจ้าหญิงคางูยะนั้นจริงๆ แล้วต้องการอะไรกันแน่?” แม้ว่าในหนังจะดูเหมือนเธอโหยหาชีวิตชนบทแบบที่เคยอยู่ในวัยเด็ก แต่พอมานึกไปนึกมาผมว่าสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ คือ “ชีวิตที่มีอิสระ” มากกว่า นั่นคือชีวิตที่เธอมีค่ามากกว่าที่จะเป็นสมบัติของใคร, ชีวิตที่เธอแสดงออกในสิ่งที่เธอต้องการได้, ชีวิตที่เธอมีอิสระที่จะรู้สึกรัก รู้สึกเสียใจหรือผิดหวัง, ชีวิตที่ไม่ต้องมีกรอบ (ที่เธอดูแล้วเห็นว่าไร้สาระ) มาผูกมัดเธอไว้ ซึ่งมันบังเอิญอยู่ในช่วงชีวิตในชนบทของเธอเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งเธอต้องเผชิญกับผู้สู่ขอทั้ง 5 รวมถึงองค์จักรพรรดิ์ มันทำให้เธอรู้สึกว่าถ้ายังอยู่บนโลกนี้เธอจะไม่มีสิทธ์ใช้ชีวิตตามที่เธอหวังได้อีกเลย T^T

สรุป: ควรค่าแก่การไปดูและควรรีบไปดูก่อนจะหายไปจากโรง

ป.ล. ซูเตมารุนี่แม่งเหี้ยจริงๆ เป็นข้อเดียวที่ดูแล้วขัดใจในหนังเลยนะ

The Hunger Games: Mockingjay Part 1

ออกตัวก่อนว่าผมเข้าไปดู The Hunger Games: Mockingjay Part 1 ด้วยความไม่คาดหวังมากนักเพราะเพื่อนๆ หลายคนที่ไปดูมาก่อนผมว่าดูสนุกสู้ภาค 2 ไม่ได้ (จริงๆ กลัวออกมาแล้วมีทหารมาจดชื่อมากกว่า ฮาาาา)

สำหรับภาค 3.1 นี่จะต่อจากภาคที่แล้วทันทีครับ คือแคทนิสได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มกบฏและพาเธอมาที่เขต 13 ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏที่จะล้มรัฐบาล The Capitol เธอยอมเป็น The Mockingjay สัญลักษณ์ของกลุ่มกบฏแลกกับการช่วยเหลือพีต้าซึ่งก็ถูก The Capital ใช้งานเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านกลุ่มกบฏเช่นกัน

สำหรับผมที่อ่านนิยายจบทั้งสามภาคแล้วผมว่าหนังภาคนี้มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะครับ คือมันไม่ค่อยมี action ไม่ค่อยมีการเอาตัวรอดเท่าไหร่นักซึ่งก็ตรงตามหนังสือที่ครึ่งเรื่องแรกมันก็แบบนี้แหละคือเน้นแต่ propaganda กันไปมา จะไปอัดกันจริงๆ ก็ครึ่งหลังของเล่มซึ่งก็ต้องรอหนังภาค 3.2 ปีหน้าเลยครับ สำหรับนักแสดงอย่าง Jennifer Lawrence และ Josh Hutcherson เล่นดีมากๆ ทั้งคู่ครับ ที่ชอบที่สุดคือในเรื่องยังไม่ตัดแมวของพริมทิ้งนี่แหละ (มันเด่นมากเลยนะในหนังสือ 555)

ข้อเสียที่ร้ายกาจที่สุดของภาคนี้คือมันแทบไม่ได้สื่อเลยว่าเขต 13 นั้น XXX ขนาดไหน (ในหนังสือที่บทแรกแคทนิสก็บ่นๆๆ ให้เราฟังหลายรอบล่ะ) แถมตัวละครสำคัญที่ทำให้รู้ว่าเขต 13 นั้นเป็นอย่างไรก็ดันโดดนตัดไปตั้งแต่หนังภาคแรกซึ่งในหนังก็แก้ให้เอา Effie มาแทนซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เนื้อหาที่หายไปตรงนี้แหละคือใจความสำคัญที่จะปูทางไปสู่บทสรุปของภาค 3.2 ซึ่งก็น่าสนใจเหมือนกันว่าหนังจะทำออกมาอย่างไร

สำหรับคนที่ไม่ได้ดูภาค 2 มาก่อนก็แนะนำให้ไปหาภาค 2 มาดูก่อนครับ แต่ถ้าคุณดูมาแล้วทั้ง 2 ภาคก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ดูภาคนี้นะ