JoJo’s Bizarre Adventure Season 3: Diamond Is Unbreakable

Diamond Is Unbreakable คือ season 3 ของอนิเมชั่น JoJo’s Bizarre Adventure (หรือที่คนไทยเรียกโจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ, หน้ากากทมิฬหรือโจโจ้เฉยๆ) ซึ่งเนื้อเรื่องตรงกับมังงะภาค 4 (season 1 คือมังงะภาค 1+2 ส่วน season 2 คือมังงะภาค 3) จุดเด่นของอนิเมชั่น Jojo ทุก season คือการถ่ายทอดฉบับมังงะมาแทบจะ shot ต่อ shot ไม่ว่าจะการยืน,การทำท่าบิดๆ, เส้นสปีด ตัวอักษรตกใจ, ฯลฯ แถมยังทำได้ดีโดยไม่เสียอรรถรสในการดูด้วย ส่วนในรีวิวนี้จะขอเรียกว่าภาค 4 ละกันเพราะมันติดปากกว่า


Continue reading “JoJo’s Bizarre Adventure Season 3: Diamond Is Unbreakable”

When Marnie Was There

When Marnie Was There เป็นหนังเรื่องสุดท้าย “ก่อนหยุดพัก” (แบบไม่มีกำหนด) ของ Studio Ghibli ครับ

When Marnie Was There Poster

หนังเล่าเรื่องราวของความสัมพันธ์ของอันนะเด็กสาวที่เกลียดตัวเองและไม่สุงสิงกับใคร กับเด็กสาวลึกลับชื่อมานี่ (Marnie) ที่เธอพบที่คฤหาสน์ร้างแห่งหนึ่งระหว่างเธอไปอาศัยบ้านญาติเพื่อรักษาโรคหอบหืด เธอค่อยๆ ไขปริศนาของมานี่พร้อมๆ กับเปลี่ยนแปลงตัวเองไปโดยไม่รู้ตัวครับ


Continue reading “When Marnie Was There”

The Tale of the Princess Kaguya

The Tale of the Princess Kaguya เป็นหนังเรื่องก่อนสุดท้ายของสตูดิโอ Ghibli กำกับและเขียนบทโดย Isao Takahata ผู้สร้าง My Neighbors the Yamadas ครับ

The Tale of the Princess Kaguya poster

Animation เรื่องนี้ดัดแปลงจากตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่นเรื่อง “คนตัดไผ่” เล่าถึงชายแก่ผู้มีอาชีพตัดไผ่ไปเจอเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ในไผ่ปล้องนึงที่เขาตัด เขาเชื่อว่าเธอคือเจ้าหญิงที่สวรรค์ส่งมาจึงพาเธอกลับบ้านไปเลี้ยงในฐานะลูกสาว ซึ่งเธอก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและมีชีวิตที่มีความสุขดี จนกระทั่งพ่อและแม่ของเธอพาเธอเข้าเมืองหลวงเพื่อไปใช้ชีวิตให้สมฐานะเจ้าหญิงซึ่งทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล

ผมสนใจ animation เรื่องนี้ตั้งแต่เห็นตัวอย่างแล้วครับ คือน่าสนใจตรงที่ภาพเหมือนภาพระบายสีน้ำทั้งเรื่อง ซึ่งพอดูจริงๆ แล้วพบว่างานด้านภาพแบบนี้มันสวยและทรงพลังมากๆ ไม่มีอะไรติดขัดเลย ตัวหนังดูแล้วรู้สึกว่าหนังมันสวยงาม ทรงพลังและเศร้ามากๆ คือไม่ถึงกับอิ่มใจแบบ Spirit Away, Totoro (ถึงจะเศร้าแต่ก็ไม่หดหู่แบบเรื่อง the wind rises ) แต่ดูแล้วรู้สึกชอบมาก นอกจากนี้ตัวหนังยังแสดงให้เห็นถึงวิธีชีวิตและวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นในสมัยโบราณเยอะเลยครับ

ตัวหนังยังคงเนิบช้า เรื่อยๆ เอื่อยๆ ตามสไตล์ Ghilib ซึ่งถ้าชอบก็ชอบไปเลยแต่ถ้าไม่ชอบก็จะเข็ดเลยเช่นกัน

สิ่งที่ผมสงสัยระหว่างดูจบ “เจ้าหญิงคางูยะนั้นจริงๆ แล้วต้องการอะไรกันแน่?” แม้ว่าในหนังจะดูเหมือนเธอโหยหาชีวิตชนบทแบบที่เคยอยู่ในวัยเด็ก แต่พอมานึกไปนึกมาผมว่าสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ คือ “ชีวิตที่มีอิสระ” มากกว่า นั่นคือชีวิตที่เธอมีค่ามากกว่าที่จะเป็นสมบัติของใคร, ชีวิตที่เธอแสดงออกในสิ่งที่เธอต้องการได้, ชีวิตที่เธอมีอิสระที่จะรู้สึกรัก รู้สึกเสียใจหรือผิดหวัง, ชีวิตที่ไม่ต้องมีกรอบ (ที่เธอดูแล้วเห็นว่าไร้สาระ) มาผูกมัดเธอไว้ ซึ่งมันบังเอิญอยู่ในช่วงชีวิตในชนบทของเธอเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งเธอต้องเผชิญกับผู้สู่ขอทั้ง 5 รวมถึงองค์จักรพรรดิ์ มันทำให้เธอรู้สึกว่าถ้ายังอยู่บนโลกนี้เธอจะไม่มีสิทธ์ใช้ชีวิตตามที่เธอหวังได้อีกเลย T^T

สรุป: ควรค่าแก่การไปดูและควรรีบไปดูก่อนจะหายไปจากโรง

ป.ล. ซูเตมารุนี่แม่งเหี้ยจริงๆ เป็นข้อเดียวที่ดูแล้วขัดใจในหนังเลยนะ