Ghostbusters: Afterlife เป็นภาค 3 ของหนังตระกูล Ghostbusters ที่เรื่องราวต่อจาก Ghostbusters (1984) และ Ghostbusters II (1989) ส่วนภาค 2016 นั้นเป็น Reboot ครับ
ออกตัวก่อนว่าผมชอบภาค 2016 เพราะรู้สึกว่ามันก็ดูสนุกดี และสงสัยว่ามันจะดราม่าอะไรกันหนักหนาวะ เลยไปดูภาค Afterlife ด้วยอคติประมาณนึง อ้อ จริงๆ หนังฉายในอเมริกาปลายปีที่แล้วแต่เพิ่งเข้าไทยปีนี้เอง
ภาพประกอบจาก imdb
Ghostbusters: Afterlife เล่าเรื่องราวของครอบครัวนึงอันประกอบด้วย Callie (Carrie Coon) คุณแม่เลี้ยงเดียวกับลูกสองคนคือ Trevor ลูกชายคนโต (Finn Wolfhard แห่ง Stranger Things) และ Phoebe ลูกสาวคนเล็กจอมเนิร์ดบ้าวิทยาศาสตร์ (แสดงโดย Mckenna Grace) ที่โดนไล่ออกจากบ้านเช่าเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า พวกเขาเลยต้องย้ายมาอยู่บ้านพ่อของ Callie ที่ทิ้งเธอมาตั้งแต่เล็กและเพิ่งเสียไปอาทิตย์ก่อน เมื่อพวกเขามาถึงบ้านก็พบว่าบ้านมันดูแปลกๆ เมืองก็แสนจะบ้านนอก ทุกคนในเมืองเรียกพ่อเธอว่าเป็นตัวประหลาด และเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่ไม่มีคำอธิบายก็เกิดขึ้นในเมืองนี้ครับ
ผู้กำกับของ Afterlife คือ Jason Reitman ผู้กำกับผู้ถนัดหนังแนว comedy drama ที่เคยฝากฝีมือไว้กับ Juno และ Up in the Air ครับ ถึงจะดูคนละแนวแต่เขาก็เหมาะสมที่สุดที่จะรับหน้าที่สานต่อภาค 3 เพราะว่าเขาเป็นลูกชายของ Ivan Reitman ผู้กำกับสองภาคแรก ซ้ำยังเคยวิ่งเล่นอยู่ในกองถ่าย Ghostbusters ทั้งสองภาคมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยครับ
จุดเด่นของ Afterlife คือเรื่องราวและตัวละครที่สานต่อกับต้นฉบับแบบเนียนกริบตั้งแต่บทยันการ Cast นักแสดงที่เห็นก็รู้เลยว่าหลานใครครับ (โดยเฉพาะน้อง Phoebe) นักแสดงชุดเดิมก็กลับมาในบทเดิมเกือบครบ มีทั้งกลับมาแบบตรงๆ มาแบบ Easter Egg ให้หายคิดถึงกัน ให้ความรู้สึกถึงความเป็นครอบครัว ความเป็นเพื่อนและความรู้สึกคุ้นเคยแบบที่ภาค 2016 ไม่มี (เพราะ Reboot แหละ) ใครที่คิดถึงต้นฉบับที่ดูสมัยตอนเด็กนี่ฟินแน่ๆ
นักแสดงหน้ารุ่นใหม่อย่างน้อง Finn และ Mckenna (น่าร๊ากก) เล่นดี น้อง Podcast (Logan Kim) ก็ขโมยซีนถูกที่ถูกเวลาตลอด และแถมมี Paul Rudd ในบทคุณครู Gary ผู้ชักนำให้เด็กๆ รู้จักกับ Ghostbusters มาร่วมป่วนด้วยก็ยิ่งฮาไปใหญ่ ที่สำคัญคือทุกคนเล่นเข้ากับบทและเข้ากับแกงค์คนแก่อย่าง Bill Murray, Dan Aykroyd และ Ernie Hudson ได้เป็นอย่างดี (ส่วน Harold Ramis นั้นแกเสียไปตั้งแต่ปี 2014 ครับ T^T)
ภาพประกอบจาก imdb: นักแสดงและผู้กำกับทั้งสองรุ่น เห็นหน้านักแสดงแล้วไม่เหมือนตรงไหนเอาปากากมาวงครับ
น่าเสียดายที่ภาคนี้ไม่มีฉากสู้กับผีแบบระเบิดตูมตามหรือความฮาไร้สาระแบบภาค 2016 (ซึ่งผมชอบ) แต่ก็ทดแทนด้วยดราม่าครอบครัวดีๆ มาแทน สมลายเซ็นต์ผู้กำกับแหละนะ แต่จุดนี้กินเวลาเยอะอยู่ซึ่งคนอาจจะไม่ชอบเท่าไหร่ มุกตลกในเรื่องออกจะเป็นแนวเนิร์ดๆ กีคๆ มากกว่า เสริมด้วยธีมออกแนวหลอนนิดๆ ที่ทำออกมาได้ดีครับ
โดยรวมแล้วถึงจะไม่ครบทุกรสเท่าของต้นฉบับทั้งสองภาค แต่ก็สานต่อในแง่ความคุ้นเคย, ความเคารพต้นฉบับพร้อมทั้งมีข้อดีในแง่มุมดราม่าและการปูพื้นตัวละคร (ที่คนอาจจะไม่ค่อยชอบ) เรียกได้ว่ามีทั้ง Fan Service และความเป็นตัวของตัวเองดี(ส่วนภาค 2016 ผมว่าได้ในเรื่องสีสันของเรื่องนะ) เอาเป็นว่าใครเป็นแฟนๆ ของสองภาคแรกละแนะนำครับ