เมื่อวันที่ 4 ถึง 13 ธันวาคมที่ผ่านมา ผมไปเที่ยวเขตคันไซ (関西地方) มาครับ หลักๆ ก็ไปเมืองใหญ่ๆ อย่าง Osaka (大阪府) และ Kyoto (京都府) โดยมีแว๊บๆ ไปเมือง Nara (奈良市) และ Kobe (神戸市) มาหน่อยนึงด้วย นี่การไปญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ของปีและนับเป็นครั้งที่ 4 ของการเที่ยวญี่ปุ่นทั้งหมดครับ
แผนเที่ยวทั้งหมดมีดังนี้
- วันที่ 4 ธันวาคม
- นั่ง AirAsia X ไปถึง Kansai International Airport (関西国際空港) ตอน 4 ทุ่มกว่า แต่ออกมาไม่ทันรถเพราะเสียเวลาที่ ตม กับรับกระเป๋านานมาก
- ไม่เป็นไร นัด host Airbnb มารับที่สนามบิน ^^
- นอนที่ Tatami RM 4 for 2-4 people 24H KIX @airbnb
- วันที่ 5 ธันวาคม: (Blog ตอนที่ 1, 2,3)
- นั่งรถ host มาที่สถานีรถไฟ
- นั่งรถไฟมาสถานี Rinkū Town Station แล้วเที่ยว/ช๊อปที่ Rinku Premium Outlets (りんくうタウン)
- กินซูชิสายพานร้าน Daikisuisan Sushi ใน Rinku Premium Outlets
- เข้าเมือง พักที่3 Dotonbori Riverside Apartment @airbnb
- ไปดูไฟงาน OSAKA Hikari-Renaissance 2015 (ตอนที่ไปมีแค่ Nakanoshima Illumination Street)
- เดินย่าน Umeda (梅田), เดินเล่น Osaka Station City
- กินข้าวหน้าปลาไหลอร่อยเทพที่ Hitsumabushinagoyabinchou (ひつまぶし名古屋備長 グランフロント大阪店)
- ไปดูรถไฟที่โรงแรม Hilton
- เดินเล่นย่าน Dōtonbori (道頓堀)
- วันที่ 6 ธันวาคม (Blog ตอนที่ 1,2)
- ไปตลาด Kuromon ไปกินทาโกะยากิร้าน Wanaka อร่อยมากกก
- ไป Osaka Castle (大坂城)
- นั่งรถไปเมือง Kobe (神戸市) ไปดูงาน Kobe Luminarie 2015
- กินสเต็กร้าน Steak Land ฟินมากกกกกกกกกกกกก
- กลับ Osaka เดินเล่น Dōtonbori
- วันที่ 7 ธันวาคม (Blog ตอนที่ 1,2)
- ตื่นเช้ามากินราเมงร้านมังกรย่าน Dōtonbori งั้นๆ แต่ถูกดี เติมข้าวได้ไม่อั้น
- ไป Osaka Aquarium Kaiyukan (海遊館) (ใช้ The Osaka City version) สนุกมากกกกกก
- ไปกิน Chese Cake mini ร้าน PALBO
- เดินย่าน Shinsaibashi (心斎橋)
- กินข้าวร้าน gusto (ガスト)
- กลับ Dōtonbori เดินเล่น
- วันที่ 8 ธันวาคม (Blog ตอนที่ 1, 2, 3)
- ไปเมือง Nara
- ไปวัด Tōdai-ji (東大寺)
- เดินถนน shopping ในเมืองนารา
- กลับ Osaka เดินเล่น shopping กินร้านราเมงข้อสอบ ICHIRAN ที่ Dotonbori
- วันที่ 9 ธันวาคม (Blog)
- ตื่นแต่เช้า ซัดข้าวร้านโยชิโนย่าแล้วนั่งรถไฟไปเมือง Kyoto (京都府)
- เข้าโรงแรม Gimmond Kyoto แล้วฝากของไว้
- ไปทัวร์โรงงานชา Marukyu-Koyamaen
- ไปเที่ยววัด Kiyomizu-dera (清水寺)
- เดินเล่นย่าน Gion (祇園)
- เดินเล่นย่าน Kyoto Station (京都駅) หาข้าวกิน
- วันที่ 10 ธันวาคม (Blog)
- ไปวัดเงิน Ginkaku-ji (銀閣寺)
- เดินบนเส้นทางเดินนักนักปราชญ์ Philosopher’s Walk (哲学の道) ไปวัด Eikan-dō (永観堂)
- ฝนถล่มหนักมาก แวะประตูทางเข้าวัด Nanzen-ji (南禅寺)
- กลับเข้าเมือง เดินเล่นถนน Shijō-dōri (四条通)
- วันที่ 11 ธันวาคม (Blog)
- ไป Arashiyama (嵐山)
- นั่งรถไฟ Sagano Romantic Train (嵯峨野観光鉄道) จากสถานี Torokko Saga ไปสถานี Umahori
- กลับมา Arashiyama เดินเล่นสะพาน Togetsukyo
- ไปวัด Tenryuji (天龍寺)
- ชมไฟงาน Kyoto Arashiyama Hanatouro 2015 ก็สะพานกะป่าไผ่ประดับไฟน่ะ สวยดี
- กลับ Osaka กินแกงกะหรี่ร้าน spicy curry kamal (カマル)
- วันที่ 12 ธันวาคม (Blog)
- ไปศาล Fushimi Inari Shrine (伏見稲荷大社)
- กินข้าวหน้าปลาไหลร้าน Nezamiya
- ไปวัด Tōfuku-ji (東福寺)
- ไปวัดทอง Kinkaku-ji (金閣寺)
- เดินตลาดปลา Nishiki (錦市場)
- ไป Pontocho (先斗町)
- shopping ย่าน Kyoto Station
- กินหมูทอดร้าน Katsukura
- วันที่ 13 ธันวาคม (Blog)
- เดินเล่นใน Kyoto Station
- ไปซื้อชาที่ Ippodo
- ไปเดิน Kyoto International Manga Museum (京都国際)
- กินข้าวเย็นร้าน Yayoiken อร่อยดี
- นั่งรถ JR ไป Kansai International Airport
- กลับถึงไทยโดยสวัสดิภาพ หลับยาวตลอดทริป
ทริปนี้เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งที่ 4 ของผม (และเป็นครั้งที่ 2 ของปี) ครับ จริงๆ แล้ว Osaka กับ Nara และ Kyoto นี่เคยมาตอนมาญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อ 8 ปีก่อน แต่ตอนนั้นมากับทัวร์ ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางจริงๆ ซึ่งก็พบว่ามึนตึ๊บสมกับที่หลายๆ คนว่าไว้เพราะว่ารถไฟและรถใต้ดินของ Osaka นี่มันมีหลายสาย หลายเจ้า (ซึ่งใช้บัตรร่วมกันไม่ได้) มาก ส่วน Kyoto นี่จะซับซ้อนน้อยกว่าแต่สถานที่เที่ยวส่วนใหญ่รถไฟไปไม่ถึงซะงั้น – -” และสถานีของทั้งสองเมืองก็ไม่มีภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่ เรื่องการใช้ pass ก็งงเพราะมีหลายตัว (เพราะมีหลายเจ้า) ต้องมานั่งคิดให้ปวดหัวว่าจะใช้ดีไม่ใช้ดี (ซึ่งส่วนใหญ่ทริปนี้ไม่ได้ใช้) โชคดีมีเพื่อนไปรอบที่ 6-7 แล้วพาเดินทางก็เลยรอดไป
ผมไปช่วงปลายๆ ใบไม้เปลี่ยนสีซึ่งปีนี้มันแปลกตรงที่มันยังเขียวอยู่เท่าๆ กับที่ร่วงไปหมดแล้ว ส่วนที่เป็นสีเหลืองสีแดงนั้นน้อยมากก็เลยไม่สวยเท่าไหร่ – -” ส่วนอากาศหนาวๆ นี่ก็เตรียมตัวจากทริปเกาหลีมาแล้ว ใส่ลองจอน+เสื้อหนาๆ+เสื้อกั๊ก+เสื้อกันหนาวหนาวๆ อยู่ครับ ^^ มีเจอฝนถล่มอยู่ 2 วันซึ่งก็หาซื้อร่มมากันฝนได้ทันวันนึง สายการบินที่ไปคือ AirAsia X ครับ สำหรับขาไปเวลาไม่ดีเท่าไหร่คือไปถึง 4 ทุ่มครึ่งซึ่งเสี่ยงกับการไม่ทันรถไฟรอบสุดท้ายมากๆ (ซึ่งก็ไม่ทันจริงๆ) ถ้าผมไปคนเดียวคงนอนสนามบินแล้วล่ะ ส่วนเวลากลับนั้นดีมากคือ 5 ทุ่มกว่าๆ ถึงไทยตี 4 ก็ได้หลับยาวไปตลอดขากลับเลย ^^
อาหารการกินทริปนี้ก็อุดมสมบูรณ์มาก ได้กินทั้งร้านชื่อดัง ได้กินทั้งฝีมือเพื่อนที่ทำอาหารเอง (เพราะห้อง airbnb มีครัว) กินอาหาร super ลดราคา เรียกได้ว่าได้กินครบทุกแนวเลย ^^
internet ระหว่างเที่ยวใช้ 2 ตัวคือครับ เพื่อนผมใช้เจ้า Samurai Wifi ซึ่งใช้ดีมาก ส่วนผมใช้ sim prepaid ของ so-net ที่ 4G LTE ก็ไวมาก แต่ว่าการลงทะเบียนและ setup นั้นยุ่งยากมาก (โดยเฉพาะ iphone) และเวลาเข้าออกพื้นที่ที่มีแต่ 3G ไม่มี 4G นี่เนตจะเอ๋อบ่อยมาก ต้องนั่งกดปิดเปิด 4G เองบ่อยๆ ถึงจะหาย
เรื่องการเที่ยวนี่ส่วนตัวผมว่าเที่ยว Osaka ง่ายกว่า Kyoto นะ คือรู้สึกว่ามันมีป้ายบอกทางอะไรที่ชัดเจนกว่า สำหรับ Osaka นี่มีที่เที่ยวทุกแนวทั้งแนวธรรมชาติ, วัด, shopping หลากหลายกว่า Kyoto ค่าครองชีพก็ถูกกว่า Kyoto สำหรับเรื่องภาษานี่รู้สึกว่าเที่ยวญี่ปุ่น (ทุกเมืองที่ไปทริปนี้) สบายกว่าเกาหลีมากคือพ่อค้าแม่ค้า, พนักงานตามสถานีรถไฟหรือที่ท่องเที่ยวสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีมาก (เผลอๆ พี่ได้ทั้งจีนและเกาหลี) ส่วนที่เกาหลีนี่แทบจะเกาหลีใส่เราอย่างเดียวเลย
ค่าใช้จ่าย (ไม่รวมค่าโรงแรม+ค่าเครื่องบิน+รูดซื้อของ) ผมแลกไป 120,000 เยน แต่ใช้ไป 97,000 เยนหรือประมาณ 28469.50 บาท (เรต 0.2935) ครับ ตอนแรกกะช๊อปกระจายแต่เอาเข้าจริงพวกที่อยากได้ก็ไม่หาไม่ค่อยเจอเท่าไหร่ อย่างเจ้าตู้ชากาปองวันพีชที่มีมากมายในคิวชูที่คันไซนี่แทบไม่มีเลย – -” ส่วนขนมและของฝากก็ซื้อน้อยลงเพราะเพิ่งกลับจากเกาหลีมา
สรุปแล้วทริปนี้ก็เป็นทริปส่งท้ายปีที่สนุกและได้เที่ยวสมอยากครับ ถ้าถามว่าจะไปอีกไหม ถ้ามีโอกาสก็คงไปคันไซอีกครับเพราะยังมีที่เที่ยวที่พลาดไปอย่างน่าเสียดายทั้ง 4 เมืองเลย – -” แต่ขอเว้นช่วงไกลๆ หน่อยละกัน ^^
ป.ล.
1. กล้องถ้าเห็นคนใช้ Fuji นี่ส่วนใหญ่เป็นคนไทย เจอคนญี่ปุ่นกับฝรั่งใช้ คนสองคนเอง กล้อง DSLR ยังเจอเยอะสุด ส่วนพวก mirrorless นี่พวก pen, lumix gf กะ sony nex เยอะสุด
2. มือถือนี่ iPhone ครองเลย
3. จักรยานเพียบ ไม่มีปัญหาด้วยเพราะคนเดินถนนและฟุตบาทใหญ่ที่สุดเสมอ ♥
15 thoughts on “สรุปทริปคันไซ 2015 (โอซาก้า เกียวโต นารา โกเบ)”