ต่อจากตอนที่แล้ว วันนี้เราจะพาไปเที่ยว ภูเขาหิมะมังกรหยก (玉龙雪山) กันล่ะครับ วันนั้นเราตื่นสายๆ กัน เจ้าของ hostel โทรไปเชคแล้วยืนยันว่าวันนี้ภูเขาเปิดแน่นอนแล้วก็พาเราไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าปากซอย ผมหยิบออกซีเจนกระป๋องจาก hostel ไปเผื่อด้วย 2 กระป๋องครับ
ระหว่างทางเขาแวะไปร้านให้เช่าเสื้อกันหนาวกับออกซีเจนกระป๋อง ผมเช่าเสื้อกันหนาวอย่างหนาเพิ่มอีกหนึ่งตัว (50 หยวน) เพราะดูแล้วเสื้อที่เตรียมมาไม่ไหวแน่ครับ ส่วนเพื่อนๆ เขาเตรียมมาพร้อมอยู่แล้วก็เลยไม่เช่าเพิ่ม แล้วก็นั่งรถยาวจนไปถึงประตูทางเข้าซึ่งก็ต้องนั่งต่อไปอีกยาวกว่าจะถึง Visitor Center (รูปด้านบน) ซึ่งอันนี้เพื่อนเคยมาปีก่อนบอกว่าแต่ก่อนก็ต้องลงตรงประตูแล้วนั่งรถต่อไปเอง
พอถึง Visitor Center คนขับก็พาเขาฝ่าฝูงทัวร์จีนอันมหาศาลเข้าไปซื้อตั๋วต่างๆ ประกบอ้วย ค่าเข้า 105 หยวน, ค่ารถบัสไปขึ้น Cable Car 20 หยวนและค่า Cable Car อีก 180 หยวนครับ แล้วก็รีบไล่เราไปต่อคิวขึ้นรถบัสเลยเพราะคนจีนแม่งเยอะมากกกก พวกเรานัดกันตรง Visitor Center นี่แหละตอนบ่ายโมง กะว่าเดินสัก 3 ชมก็คงพอเนอะ (ซึ่งไม่พอ…)
ลงรถบัสก็มาต่อคิวขึ้นกระเช้าครับ จะเห็นว่าแค่สถานีกระเช้าก็ 3356 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลแล้ว
คิวก็ยาวระเบิดตามที่คาดครับ แต่ยังดีที่ไหลไปได้เรื่อยๆ ยกเว้นตอนขึ้นกระเช้าที่สาวจีนหน้าสวยข้างหน้าแม่งเบียดแย่งขึ้นรถกระเช้ากับผัวเธอทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นเท่านั้นเอง (พวกผมเบียดชนะ ฮ่า) ส่วนวิวตอนขึ้นกระเช้าก็สวยดี สูงด้วย แต่ไม่หวาดเสียวหรือตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่ครับ (ฮ่องกงหวาดเสียวและสวยกว่านะ)
พอขึ้นมาถึงสถานีด้านบนเราก็มาถึงจุดที่สูงกว่าน้ำทะเล 4506 เมตรล่ะ ตัวสถานีใหญ่ มีร้านอาหารและมุมให้นั่งเล่นบริการ ด้านนอกก็มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะแยะ แต่ผมใช้เวลาตรงนี้ไม่นานนักเพราะภูเขาหิมะมังกรหยกมันอยู่ตรงหน้าแล้ว จะเสียเวลาทำไม รีบขึ้นสิครับ
มุมจากสถานีกระเช้าข้างบน
ถึงจุดนี้มีผมกับเพื่อนขึ้นไปแค่ 2 คนครับ ส่วนอีกคนมันเคยมาแล้วตอนที่หิมะเยอะกว่านี้มาก มันบอกตอนนั้นไม่มีบันไดทางเดินอะไรทั้งสิ้น เดินลุยหิมะไปนั่นแหละ ส่วนทางเดินที่ทำมาใหม่นี่ก็แข็งแรงและกว้างขวางดีครับ เดินพร้อมกัน 3 แถวได้สบายๆ
ข้างบนนี้ลมไม่แรงเท่าเมื่อวานตรงประตู (มิน่าแม่งปิด) ส่วนอากาศก็หนาวเข้าขั้นบัดซบ แต่เสื้อกันหนาว 50 หยวนนี่ช่วยได้เยอะจนไม่อยากเอาไปคืนเขาเลย ^^
เห็นทางขึ้นนี่ดูใกล้ๆ แต่จริงๆ แล้วหลอกตามากครับ คือมันไกลมากแถมยังสูงมาก และด้วยอากาศเบาบางทำให้เดินขึ้นไปได้ช้ามาก ต้องค่อยๆ เดินแล้วหยุดพักไปเรื่อยๆ พร้อมอัดออกซีเจนกระเป๋าเป็นระยะๆ
สำหรับวิวอีกด้านของภูเขาเหรอครับ ก็ภูเขาหย่อมๆ อีกเป็นสิบๆ ลูกไง ^^
เห็นใกล้ๆ นี่แต่เอาจริงๆ กว่าจะเดินมาที่จุดที่ถ่ายได้แม่งโคตรนาน
ระหว่างทางก็มีร้านขายของกินที่ให้พลังงานสูงอยู่เป็นระยะๆ ครับ ราคาก็บวกเพิ่มมหาโหด แต่จุดนั้นก็ต้องยอมล่ะ เห็นหลายๆ ทัวร์เขาแจกของกินให้พกขึ้นมาด้วย ดีจัง
ข้างบนยิ่งสูงที่ยิ่งเดินขึ้่นได้ช้าครับ เพราะต้องพักบ่อยขึ้น ผมเผลอทำออกซีเจนกระป๋องตกด้วย ยังใช้ได้ไม่ถึงไหนเลย แสรดดด เดินๆ ไปก็เห็นคนจีนปีนลงจากทางเดินออกไปเดินเล่นบนภูเขากันเป็นระยะๆ … จีนจริงๆ ส่วนวิวก็ยิ่งสูงยิ่งสวยครับ เสียดายที่หิมะน้อยไปหน่อย
จุดที่ยากที่สุดคือบันไดจุดสุดท้ายก็จะขึ้นจุดที่สูงที่สุดครับ คือมันชันมากและไม่มีจุดพักเลย ก็ต้องค่อยๆ เดินเลยหยุดพักกลางบันไดเอา ผมพักตั้ง 4 – 5 ทีกว่าจะขึ้นไปด้านบนสุดที่ 4680 เมตร นับเวลาแล้วขึ้นมาแค่ 100 กว่าเมตรนี่ล่อไปชั่วโมงนึงเต็มๆ
พอขึ้นมาได้ก็หายเหนื่อยครับ มันสวยจริงๆ เสียดายที่ไม่มีเลนส์ wide เพราะภูเขาที่อยู่ตรงหน้ามันอลังการมากๆ สิ่งทีท้าทายที่สุดไม่ใช่การถ่ายรูปภูเขาหิมะมังกรหยกแต่คือการแย่งชิงมุมถ่ายรูปกับคนจีนมากกว่า เพราะพี่แกต่อคิวกันไม่เป็นเลยสักคน ก็ต้องแทรกแม่งเลยฮะ (แม่งก็แทรกมาบังเราเหมือนกัน)
กว่าจะได้มุมนี้ fight กันอยู่นานมากกกก
ผมกับเพื่อนแย่งมุมถ่ายรูปกับคนจีนจนทนหนาวไม่ไหวก็ลงมาครับ ขาลงสบายขึ้นเยอะไม่ต้องพึ่งออกซีเจนอีกกระป๋องเลย มาเหนื่อยจริงๆ ก็ตอนถึงสถานีแล้วขึ้นลงบันไดในสถานีกระเช้านั่นแหละ โคตรเหนื่อย!
เห็นชันๆ แบบนี้ลงสบายกว่าที่คิดนะ
กระเช้าขากลับจำได้ว่ารอไม่นานครับ ออกมาจากกระเช้าแล้วเพื่อนบอกว่าลองไป Blue Moon Valley ทะเลสาปน้ำสีเหมือนหยกซึ่งอยู่ในเขตภูเขานี้ต่อไหนก็เลยเดินไปต่อคิวรถบัสกันซึ่งก็รอนานมากเพราะคนโคตรเยอะแถมรถขาด ก็ต้องรอเขาจัดคิวอีก จริงๆ แล้วตอนนั้นเวลาที่นัดรถเหมาไว้ก็ใกล้แล้วล่ะครับ แต่พวกเรากะว่าไปดูแป๊บๆ แล้วก็กลับครับ (สุดท้ายก็พลาดอ่ะนะ)
ก็ขอจบตอนนี้ไว้ก่อนครับ
ป.ล. จริงๆ เขามีการแสดงของจางอี้โหมวตรงแถวๆ Visitor Center ด้วย มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะนี่แหละ ดูตัวอย่างแล้วอลังดี (เนื้อเรื่องประมาณรวมชาติพันธุ์ในจีนสามัคคีมั้ง) ถ้า 1 Day trip จะรวมค่านี้ไว้อยู่แล้ว หรือจะจ่ายตังค์เพิ่งดูเองก็ได้ แต่พวกผมเลือกที่จะไม่ดูครับ
One thought on “สะพายกล้องเที่ยวจีนตอนที่ 8.1: พาเที่ยวภูเขาหิมะมังกรหยก”