entry นี้ต่อจากตอนนี้นะครับ
เริ่มต้นวันที่ 2 ของทริปสิกขิมกันเลยครับ ตื่่นตอนเช้าๆ มารับบรรยากาศวันสงกรานต์บนยอดเขา อากาศดีมากกกกกกกกกกกกก ฟ้าใสมากก เห็นบรรยากาศเมืองกังต๊อกชัดเจนว่าเป็นเมืองบนยอดเขาที่ไร้ราบจริงๆ
พี่เอาแมวมาแกล้งน้อง (หรือจริงๆ แกล้งแมววะ)
กินข้าวเช้าเป็นบุฟเฟ่แบบแขกๆ เสร็จ เพื่อนที่เป็นคนจัดทริปก็ขอแยกตัวออกไปหาบริษัททัวร์ ผมในระหว่างรอก็ออกไปถ่ายรูปตัวเมืองยามเช้ามานิดหน่อย
ปรากฏว่าสุดท้ายเพื่อนก็เอาทัวร์ของโรงแรมนี่แหละ และที่สำคัญคือเราไปทะเลสาปชางกู่วันนี้ไม่ได้เพราะต้องทำเรื่องขออนุญาติล่วงหน้า 1 วัน (ทะเลสาปนี้อยู่ส่วนที่ใกล้ชายแดนมากครับ ชาวต่างชาติจะเข้าไปต้องทำ permit ก่อน) -*- เขาเลยแนะนำว่าให้วันนี้เป็น One Day Trip ที่จะพาเที่ยว 10 ที่แทน ก็จัดไป รอสักพักเขาก็ไปเรียกรถ Taxi มา 2 คันให้ขับพาเราเที่ยว ซึ่งก็ไม่รู้มันคุยอะไรกัน แต่ที่คุยกะทัวร์ มันบอกว่าทุกที่ที่เราอยากไปอยู่ใน 10 ที่นั้นแล้ว …
ระหว่างทางนั่งไปที่แรกก็พบว่าเมืองกังต๊อกนี่จริงๆ แล้วใหญ่พอดูครับ แต่ด้วยความที่กระจายอยู่ในแต่ละภูเขาเป็นส่วนๆ มันเลยอาจจะดูเล็ก แต่ถ้าวัดกันจริงๆ แล้วกินเนื้อที่ไปหลายเขามากกก
ที่แรกที่เขาพามาคือสถูป Do-drul Chorten ครับ ลางโดนแขกฟันก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ที่นี่แหละ คือตอนแรกรถคันผมมาถึงก่อนแล้วก็จอดจะให้ขึ้นเนินไป ระหว่างพวกผมยึกยักกันอยู่ว่ามึงก็ขับพาขึ้นไปข้างบนเลยสิ คันที่ 2 ก็มาแล้วจะขับพาขึ้นไป คนขับคันที่ผมนั่งก็ตะโกนโวยวายไรสักอย่าง สุดท้ายก็ต้องเดินขึ้นกันหมด -*-
กงล้อระฆังที่หมุนๆ แล้วจะโชคดีครับ หมุนผิดทางกันทุกคนเลยยย
เหมียวอินเดีย เชื่องและน่ารักมากกกกกกกกก
ลุงคนนี้ก็ขอถ่ายตรงๆ เลยหลังจากแกเดินมาคุยเป็นภาษาอินเดียกะพวกผม ^^
ป้ากวาดกุฏิพระอยู่ พวกผมก็เดินไปขอถ่ายตรงๆ อีกเช่นกัน
อยู่ที่นี่สักเกือบๆ 40 นาที ก็เดินลงมาแล้วไปที่ต่อไปกัน ก็ขึ้นเขา ลงเขาสลับกันไปตลอด และพวกผมก็เพิ่งจะสังเกตุว่าพวก Taxi ที่นี่เวลาลงมันจะดับเครื่องแล้วปล่อยไหลเลย -*- เมพมาก ทางก็รถพอหลีกันได้นิดหน่อยเท่านั้น นั่งไปได้อีกสักพักใหญ่ๆ ก็จอดพักรถที่จุดชมวิว ระหว่างนั่งคุยกัน กินขนม กินกาแฟอินเดีย ก็มีครอบครัวแขกมานั่งข้างๆ แล้วชวนคุย พอรู้ว่ามาจากไทยก็ดีใจมาก ไอเคยไปพัทยาแล้ว ชอบมากเลย ^^
ผมได้ลองอาหารประจำสิกขิม (หรือทั้งอินเดียวะ) อย่างนึงที่นี่ครับ มันคือ “โมโม่” หรือเกี๊ยวอินเดียนั่นเอง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นไส้ไก่ไม่ก็ไส้ผัก กินกับซอสพริกไม่เผ็ดมาก ส่วนตัวผมชอบนะ ร้อนๆ อร่อยดี กินง่าย ราคาประมาณ 20 – 30 รูปีเอง (เพื่อนผมกินทีสองทีก็บ่นเบื่อ) อีกอย่างก็กาแฟอินเดีย กลิ่นเครื่องเทศไม่หนักมาก (เพื่อนบอกว่าพวกราชาสถานหนักกว่านี้) อร่อยดีครับ หวานเวอร์เลย
เสร็จแล้วก็ไปต่อกันที่วัดRumtek ครับ ถือเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในสิกขิมและยังเป็นวัดที่สร้างตามสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของทิเบตเลยทีเดียว (เพราะสร้างโดยพระสังฆราชการ์มาปาที่ 9 ซึ่งเป็นชาวทิเบตที่ลี้ภัยหนีจีนมาที่นี่)
ก่อนเข้าไปต้องผ่านพี่ทหารก่อน ต้องฝาก passport ด้วย มีก๊วนฝรั่งมาแล้วไม่พก passport เลยอดเข้าเลย
จากประตูก็ต้องเดินขึ้นเนินตามถนนไปที่วัดครับ แน่นอนว่าเจอชาวบ้าน (หน้าเริ่มจีนๆ ทิเบตๆ) ก็เข้าไปขอถ่ายรูปตลอด สนุกดี
พวกผมหมุนๆ ขึ้นไปแล้วมีคนทักว่า เขาให้ทำตอนขาลง -*- เกือบซวยแล้วมั้ยล่ะ
<
ก่อนจะเข้าวัดก็ต้องให้พี่ทหารตรวจกันก่อนว่าไม่พกอาวุธและสิ่งของต้องห้ามเข้าไป จ่ายตังค์ค่าเข้าวัดเสร็จ ผ่านเครื่อง scan อีกชั้นก็เข้าไปได้ครับ ในตัววัดถ่ายรูปได้ปกติยกเว้นในวิหารหรือห้องสวดต่างๆ (แต่เพื่อนผมที่ไปด้วยก็แอบถ่ายกันมาอ่ะนะ) ในวิหารก็มืดๆ ทีมๆ สงบดีครับ มีพระพุทธรูปในนิกายมหายานต่างๆ เพียบเลย
สุนัขทหาร
รูปนี้แอบถ่ายมา
ลานวัด
อลังดีแท้ๆ
ทางเข้าห้องสวดมนต์ครับ ข้างในก็สวย
นักท่องเที่ยวอินเดียขอถ่ายรูปเพื่อนผมเฉยเลย …
จริงๆ วัดรุมเต็กนี้มีเจดีย์สีทองเป็นจุดเด่นอีกอย่าง แต่พวกผมเดินกันไปถึงหลังวัด (เกือบจะเข้าไปกุฏิพระแล้ว) ก็ยังหาไม่เจอ
ไม่รู้แขกรออะไรกัน
โรงเรียนภายในวัดครับ
ขอถ่ายเณรน้อยมา ไปตอนพระกำลังจะฉันเพลพอดี -________________-
ขากลับก็กลับทางเดิม ยังมีอะไรให้ถ่ายรูปสนุกๆ อีกเยอะครับ
มีเพื่อนบอกว่าดีแทคของไทยนี่ยิ่งใหญ่จัง ♥
ของที่ระลึกก็มี แต่ไม่ได้ซื้อ
หลังจากนั้นพี่ Taxi ก็พาไปสวนพฤกษศาสตร์ที่ปิด กะจุดชมวิวตรงริมหน้าผาที่เห็นเมืองกังต๊อกชัดๆ (แต่ถ่ายมาไม่สวย) เป็นระยะๆ ครับ แล้วพอเพื่อนคุยกะพี่ Taxi ก็พบว่าแม่งนับไอ้จุดชมวิวง่อยๆ ที่จอดพักรถแป๊บๆ ใน 10 ที่ด้วย แสรดดดดดดดดดดดดดดด -*- บอกว่ามันไม่นับโว๊ยมันก็ไม่ยอม บอกว่าตกลงกะทัวร์มาแบบนี้ ไอ้แสรดดด
เถียงกันสักพักพวกผมก็เถียงแพ้มันเพราะมันเป็นคนจับพวกมาลัยรถ -*- มันก็ขับรถพาไปน้ำตก Ban Jhakri falls ไม่มีอะไรเท่าไหร่ ที่สิกขิมนี่น้ำตกเยอะครับ เพราะเป็นภูเขาและด้านบนเป็นหิมะเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำตกเล็กๆ แบบที่เห็นกันดาษดื่นในบ้านเรา
ก็ขอจบครึ่งวันแรกของ Sikkim One Day Trip แต่เพียงเท่านี้ครับ
One thought on “สะพายกล้องเที่ยวสิกขิม #2: Gangtok One Day Trip ตอนแรก”