X-Men: Days of Future Past

X-Men: Days of Future Past เป็นภาพยนต์ใน series X-Men ตอนล่าสุดแถมยังเป็นภาคที่เชื่อมระหว่างไตรภาคแรก, The Wolverine (ตอน end credit) และ X-Men: First Class เข้าด้วยกันครับ

X-Men: Days of Future Past

X-Men: DOF ดัดแปลงมาจากการ์ตูน X-Men ตอน Days of Future Past ที่วาดตั้งแต่ปี 1981 โน่นเลยครับ เนื้อเรื่องจะต่อจาก The Wolverine (ซึ่งก็ต่อมาจาก The Last Stand อีกทีนึง) เล่าถึงเรื่องราวในอนาคตที่ mutant และมนุษย์ที่ให้ความช่วยเหลือ mutant ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยหุ่นยนต์พิฆาต Sentinal จนโลกกลายเป็นดีสโทเปียที่ถูกปกครองโดยหุ่น Sentinal อีกที กลุ่ม X-Men ที่เหลืออยู่นำโดย Professor Charles Xavier และ Magneto จึงต้องใช้พลังของ Kitty Pryde ส่ง Wolverine ย้อนเวลากลับไปช่วงเวลาหลังเหตุการณ์ First Class เพื่อหยุดยั้ง Mystique ไม่ให้กระทำบางอย่างที่จะส่งผลให้เกิดการผลิต Sentinal ขึ้นไล่ฆ่า mutant ครับ

ภาคนี้ได้ผู้กำกับคู่บุญอย่าง Bryan Singer กลับมารับหน้าที่อีกครั้งครับ ตัว Bryan เองก็เหมือนจะรู้ตัวว่าก่อนหน้านี้ยัดดราม่าแบบหนักข้อไปหน่อย ภาคนี้เลยตัดดราม่าเสียเหี้ยน หรือแต่ action – scifi ล้วนๆ ก็เลยทำให้หนังดูสนุกกว่าไตรภาคแรกเยอะเลย มีทั้งตลก บู๊ ลุ้นระทึก หักมุม ครบทุกรสเลย หนังยังเน้นสานต่อเรื่องราวของตัวละครจาก First class ทำให้เราเห็นความต่างกันทางแนวคิดของ professor X, Magneto และ Mystique ชัดเจนซึ่งมีผลต่อการกระทำในเรื่อง

แม้ว่าภาคนี้จะดูสนุกมาก แต่ผมว่ามันยังไม่ฟินเท่า First class ครับ คือใน First class มันยังมีดราม่าที่เข้มข้นและลงตัวกว่าโดยไม่ทำให้หนังไม่สนุกน้อยลง, บทตัวร้ายอย่าง Sebastian Shaw (แสดงโดย Kevin Bacon นั้นเข้มข้นและเจ๋งกว่าบทของ Bolivar Trask (แสดงโดย Tyrion Lannister) มากๆ คือพี่ทีเรียนเราก็เล่นดีนะครับ แต่บทมันไม่ส่งและเราก็ติดกับการแสดงที่ทรงพลัง (กว่านี้) ใน Game of Thrones และอีกอย่างคือหนังไม่ได้ใช้ประโยชน์ของยุคสมัยให้เข้ากับธีมเรื่องแบบตอน First Class เท่าไหร่

แต่สุดท้ายแม้ว่าผมจะชอบ First Class มากกว่าแต่ก็ทำใจยอมรับว่ารายได้มันต่ำเป็นอันดับสองของ series เลย ก็เลยเข้าใจว่าทำไมเขาทำ DOF ออกมาแบบนี้ ซึ่งมันก็ได้ผลดีในแง่หนังดูสนุกง่ายขึ้น เอาใจแฟนๆ คอมมิกมากขึ้นนั่นเอง

สรุป X-Men: Days of Future Past เป็นหนัง Super Heroes ที่ดูสนุก ดูซ้ำได้หลายรอบ คำแนะนำของผมคือควรจำเนื้อเรื่อง First Class, และ X-Men ภาคเก่าให้ได้แล้วจะไม่งงครับ

The Wolverine

The Wolverine เป็นหนังแยกอีกภาคของตัวละคร Wolverine แห่ง Series X-Men เนื้อเรื่องในภาคนี้ต่อจากภาค The Last Stand โลแกนแยกตัวออกมาจาก X-Men และฝันร้ายถึงเหตุการณ์จากสูญเสียคนที่รักไปจากทั้งภาค Origins และที่เขาฆ่า Jean Grey ใน The Last Stand วันหนึ่งมีสาวญี่ปุ่นมาติดต่อเขาบอกว่าคนที่เขาเคยช่วยไว้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องการจะขอบคุณและบอกลาเขาก่อนตาย แน่นอนว่าการไปญี่ปุ่นครั้งนี้คงไม่ใช่แค่ไปลาแล้วกลับหรอกเนอะ

The Wolverine Poster

ภาคนี้ผมไปดูแบบที่คนรอบข้างพูดถึงมันเป็น 2 เสียงชัดเจนว่าไม่สนุกดีก็หนังงั้นๆ ออกไปทางห่วย ผมดูเองแล้วรู้สึกว่าหนังมันก็โอเคนะครับ คือสนุกกว่าภาค Origins แน่นอน มันสนุกพอๆ กับ The Amazing Spider Man (ที่รีบู๊ทใหม่น่ะครับ) มีฉากต่อสู้เจ๋งดี โดยเฉพาะการต่อสู้ระหว่าง Wolverine กับนินจาหรือซามูไรดูแล้วนึกถึงการ์ตูนเรื่องฤทธิ์ดาบไร้ปราณีเลย ผู้ร้ายก็เก่งดี

สิ่งที่ดีที่สุดของภาคนี้จริงๆ คือนางเอกอย่าง Tao Okamoto ครับ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยแบบที่เราเผลอมองโดยไม่รู้ตัวและละสายตาไม่ได้เลย (นางแบบ Ralph Lauren เชียวนะเออ) ♥

สิ่งที่เป็นจุดด้อยของ The Wolverine ก็คงจะเป็นมันสู้ X-Men:First Class ไม่ได้เลยในแง่ความลึกและความหนักแน่นของเนื้อเรื่อง เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ไม่เข้าพวกตระกูล X-Men สายไบรอัน ซิงเกอร์เลยด้วยซ้ำ ถ้าข้ามไปเทียบกับหนัง Marvel ด้วยกันอย่าง Iron Man, Captain America, Thor และ The Avenger ก็ไม่ได้อยู่ดี พวกนั้นดูสนุกสนานบันเทิงกว่า (แต่นางเอกสู้ Tao Okamoto ไม่ได้สักเรื่อง!)

สิ่งที่ผมผิดหวังอีกอย่างคือมันยังจะพยายามไปโยงกับไตรภาค X-Men อันแรกทั้งๆ ที่มันน่าจะไปโยงกับ First Class ที่เป็นการรีบู๊ทมากกว่า แต่ก็มารู้ที่หลังว่า X-Men ภาคไปอย่าง Days of Future Past จะโยงไตรภาคแรกและรีบู๊ทเข้าด้วยกันก็พอจะเข้าใจ แต่ก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี -*-

สรุปผมว่ามันก็โอเคนะ เสียตังค์ดูในโรงแล้วดูซ้ำตอนฉายฟรีทีวีได้เรื่อยๆ อ่ะ

ป.ล. อย่าลืมดู End Credit