The Hobbit: The Desolation of Smaug

The Hobbit: The Desolation of Smaug เป็นภาคต่อของ The Hobbit: An Unexpected Journey ซึ่งสร้างมาจากนิยาย The Hobbit ของ J. R. R. Tolkien ที่เป็นปฐมบทของมหากาพย์ The Lord of the Rings ครับ

The Hobbit 2 poster

ภาคนี้เล่าเรื่องราวต่อจาก An Unexpected Journey ทันทีแบบไม่มีปูเนื้อเรื่องเลยครับ Bilbo และชาวคณะคนแคระ + 1 พ่อมดยังคงต้องฝ่าดงตีนทั้งตีนออร์ค ตีนปีศาจ ตีนเอลฟ์และตีนมนุษย์เพื่อไปยึดเมืองคืนจากมังกร้าย Smaug ให้ได้

ภาคนี้ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนดู LoR ภาค The Two Towers ครับ คือมันสนุกกว่าภาคแรกมากๆ (The Two Towers ก็สนุกกว่า The Fellowship of the Ring มาก) มีหลายรสชาติทั้งแอ๊คชั่นสุดตื่นเต้น, มุขตลกที่ขำกว่าภาคที่แล้วเยอะ, Romantic ที่ดูแล้วเอาใจช่วยสุดๆ ก็มี ไม่มีฉากไหนที่น่าเบื่อเลย เนื้อเรื่องก็คาดเดาไม่ได้ดี

ภาคนี้เราจะเห็นว่าแหวนแห่งอำนาจนั้นได้เริ่มครอบงำบิลโบแบบที่มันครอบงำคนอื่นๆ ใน LoR เราจะได้เห็นว่าความโลภทำให้หัวใจผู้กล้าของคนแคระบิดเบี้ยวไปได้เพียงไร ภาคนี้เนื้อหาเข้มข้นและน่าคิดกว่าเดิมเยอะครับ อ้อ ภาคนี้ผมดูแบบปกติไม่ได้ดู 3D หรือ HFR เพราะ HFR มันฉายรอบดึกเหลือเกิน ส่วน 3D ก็แพงงงง

สรุป The Desolation of Smaug สนุกและดีกว่าภาคแรกมากๆ ครับ

Frozen

Frozen เป็นภาพยนต์อนิเมชันเรื่องที่ 53 ของ Walt Disney เป็นเรื่องที่เข้าไทยแบบเงียบๆ ผมมารู้ว่ามันเข้าตอนอ่าน Twitter แล้วมีแต่คนบอกว่าสนุกมาก เลยไปดูแถวบ้านก่อนมันจะออก ซึ่งแถวบ้านก็มีแต่พากษ์ไทยซะด้วย

Frozen Poster

Frozen เล่าเรื่องราวของ 2 พี่น้องเจ้าหญิงเอลซ่าและอันนา คนพี่เอลซ่ามีพลังน้ำแข็ง (แนวๆ Ice Man คิดว่าระดับ Omega Level เหมือนกัน) ที่เผลอทำให้อันนา น้องสาวบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอจึงตั้งใจจะปิดพลังไว้โดยการไม่เปิดใจให้ใคร ไม่คุยกับใครเลยแม้กระทั่งน้องสาวตัวเอง ขังตัวอยู่แต่ในห้อง จนกระทั่งวันที่เธอรับตำแหน่งราชินี เอลซ่าทะเลาะกับอันนาโดยไม่ได้ตั้งใจและเผลอปล่อยพลังทำให้ทั้งเมืองกลายเป็นฤดูหนาวอันเยือกแข็ง ด้วยความตกใจเธอจึงหนีขึ้นภูเขาไป อันนาจึงต้องไปตามหาพี่สาวของเธอพร้อมกับคริสตอฟ นักเก็บน้ำแข็งที่เจอระหว่างทาง

หนังเรื่องนี้สนุกมากๆ ครับ สนุกและตลกกว่าที่คาด ผมว่าสนุกกว่า Wreck-It Ralph อีก เนื้อหามีอะไรหลายๆ อย่างเป็นผู้ใหญ่และเข้ากับยุคสมัยนี้มากกว่าที่ผมคิด เพลงประกอบก็เพราะดี ถึงจะดูพากษ์ไทยแต่ก็ไม่รู้สึกขัดอะไร เพลงเวอร์ชั่นไทยก็เพราะแล้วก็เนียนดีครับ บทจะซึ้งก็ซึ้งใช้ได้เลย

ข้อเสียเล็กน้อยคงจะเป็นเรื่องปมประเด็นความรักของอันนาที่ถ้าไม่เป็นแบบในหนัง (ถ้าบอกไป spoil แน่ๆ) จะทำให้เนื้อหาดูเจ๋งมากกว่านี้อีกหน่อยครับ

ป.ล.
– พี่เอา John Lasseter มาเป็น executive producer เลยนะครับ
– เห็น Rapunzel โผล่มาแว๊บๆ

The Hunger Games: Catching Fire

The Hunger Games: Catching Fire เป็นภาคต่อของ The Hunger Game ที่ภาคแรกทำออกมาได้สนุกเกินคาดของผมครับ

Catching Fire

ภาคนี้แคตนิสและพีต้าผู้รอดชีวิตจากเกมประลองเลือดเพื่อความมั่นคงและศีลธรรมอันดีงามของ Capital ในครั้งที่แล้วต้องกลับเข้าไปสู่ลานประลองอีกครั้งอย่างไม่เต็มใจ แถมครั้งนี้ผู้ร่วมแข็งขันแต่ละคนยังเป็นแชมป์ปีก่อนๆ ที่โหดเหี้ยมและเขี้ยวลากดินสุดๆ แล้วทั้งคู่จะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร

มีคนบอกว่าภาคนี้ถ้าเขียนรีวิวแบบละเอียดละก็ “spoil แน่ๆ” ซึ่งผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ :p

Catching Fire นั้นได้รับคำชมล้นหลามว่าเจ๋งกว่าภาคแรกมากๆ ซึ่งผมดูแล้วมันก็ดีกว่าภาคแรกในทุกๆ ด้านจริง สนุกกว่า ลุ้นกว่า โหดเหี้ยมกว่า ทำร้ายจิตใจมากกว่ามาก ทุกๆ ฉากไม่มีฉากไหนที่ดูแล้วรู้สึกเอื่อยๆ แบบเหมือนภาคแรกที่กว่าจะพีคก็ไปกลางเรื่องเลย เป็นหนังที่ไม่ได้พีคอะไรตูมตามขนาดนั้นแต่ดูสนุกและลุ้นไปทุกฉากเลยครับ ข้อเสียก็มีเช่นผู้เข้าแข่งแต่ละคนที่ปูพื้นไว้ว่าเหี้ยมโหดสุดๆ แต่เอาจริงๆ ผมว่าพวกในภาคแรกยังเด่นกว่า โหดกว่าเลย อีกอย่างก็คือผมดันทะลึ่งเดาอะไรบางอย่างได้ตั้งแต่ต้นเรื่องนั่นแหละ – -”

สรุป: เจ๋ง คุ้มตังค์สุดๆ รอดู Mockingjay ภาค 1 ปีหน้าและภาค 2 ปี 2015 เลย