Cinderella

ผมเข้าไปดูหนังเรื่อง Cinderella ด้วยความคาดหวังว่ามันจะเหมือนตีความใหม่แบบเจ๋งๆ เหมือน คุณแม่มาลี แม้ว่าจะเห็นตัวอย่างแบบยาวๆ แล้วก็ยังหวังอยู่ในใจว่าตัวอย่างมันต้องหลอกกูสิ -*-

ปรากฏว่าหนังออกมาตามฉบับการ์ตูนเป๊ะๆ เลยครับ แทบจะไม่มีการตีความใหม่อะไรเท่าไหร่นักนอกเหนือจากการเน้นการขับเคี่ยวระหว่างผู้หญิงสองคน (แม่เลี้ยง vs ซิน) ให้ชัดเจนขึ้น ฝั่งแม่เลี้ยงก็ใช้ความร้ายเป็นอาวุธส่วนฝั่งซินก็ใช้ความดี ใสๆ น่ารัก บังหน้ามารยาหญิง (ทั้งมางานเต้นรำเป็นคนสุดท้ายเลยเด่นที่สุด ทั้งรองเท้าหลุดต่อหน้าเจ้าชาย ชวนให้สงสัยว่าว่าตั้งใจ…ป่าววะ) ดึงRobb Starkเจ้าชายมาเป็นอาวุธเพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในบ้าน (และพื้นที่ของพวกเธอ)

แต่ถึงแม้ว่าหนังมันจะไม่มีการตีความใหม่ให้เราอึ้งแบบคุณแม่มาลี แต่หนังมันก็ดูสนุก เพลินๆ ดีนะครับ ฉากสวยมาก ฉากเต้นรำสวยสุดๆ ดูแล้วยังลุ้นว่าซินกับเจ้าชายจะได้เจอกันมั้ย (ทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่าสมหวังแน่นอน) Cate Blanchett เล่นเป็นตัวร้ายได้สวยเฉียบมาก นางเอกก็น่าร๊ากกกกกกกกกกกก ตัวละครฝั่งผู้ชายก็มี Richard Madden และ Nonso Anozie ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากับ GoT ให้เราดูแล้วรู้สึกว่ากูเพิ่งดูพวกมึงตายไปเองนี่หว่า 555

สรุป: แม้จะไม่เหมือนกับที่คาดหวังแต่ Cinderella ก็ยังดูได้เพลินๆ ครับ

Chappie

ผมได้ตั๋วหนังเรื่อง Chappie รอบพิเศษมาฟรีครับ ได้มาเพราะเล่นเกมกับบัตรเครดิตกสิกรไทยแล้วใช้แต้มแลกมานิดหน่อย

Chappie Poster

หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของ Chappie หุ่นยนต์ตำรวจปลดประจำการประจำเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ที่ได้รับการทดลองติดตั้งโปรแกรม “จิตสำนึก” ลงไปโดย Deon Wilson คนสร้างหุ่นยนต์ตำรวจทั้งหมดเป็นคน “แอบ” ลง โปรแกรมนี้จะทำให้ Chappie มีจิตสำนึก มีจิตใจ มีอารมณ์ มีนิสัยและการตัดสินใจเหมือนคนจริงๆ โดยจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นตามสภาวะแวดล้อม แต่เจ้า Chappie ดันผ่าไปอยู่กับแกงค์โจรกระจอกที่ต้องการ Chappie ไปช่วยทำการปล้นครั้งใหญ่ซะงั้น

Chappie เป็นหนังเรื่องที่ 3 ของ Neil Blomkamp แห่ง District 9 และ Elysium ครับ เนื้อเรื่องก็วนเวียนกับ Sci-fi และเมืองโจฮันเนสเบิร์กนี่แหละ ผมไปดูหนังเรื่องนี้โดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากเพราะผิดหวังจาก Elysium มาก่อน ตัวอย่างก็เคยดูแค่ครึ่งเดียวเองมั้ง

กลายเป็นว่าหนังเรื่องนี้สนุกกว่าที่คิดและยังท้าทายความคาดหวังหลายๆ อย่างของผมด้วยครับ มันดูสนุกกว่า Elysium และไม่หดหู่เท่า District 9 ครับ มันเป็นหนัง Sci-fi เกี่ยวกับปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่อหุ่นยนต์ที่มีจิตสำนึกและมีจิตใจจริงๆ ขึ้นมา ซึ่งก็มีได้หลายทางทั้งคาดหวัง, หวาดกลัว, เปลี่ยนแปลงตัวเอง ฯลฯ

ที่เด็ดที่สุดคือหนังท้าทายความคาดหวังทางศีลธรรมของคนดู (และผม) ว่าตัวเอกของเรื่องหรือสิ่งที่แสดง “ความมีชีวิต” นั้นหมายถึงการเลือกที่ต้องเป็นแบบไหน (แบบที่เราคาดหวัง – ลึกๆ แบบหนังเรื่องอื่นอ่ะนะ) ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ว่าเขาจะนิสัยเป็นแบบไหนหรือเลือกทางชีวิตอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านั่นคือสิ่งที่แสดงถึงความมีชีวิตจิตใจของเขาที่เรา (แม้กระทั่งผู้สร้างที่บอกว่าอย่าให้ใครมาตีกรอบ) มาตีกรอบได้นั่นเอง

ที่น่าเสียดายคือหนังน่าจะเล่นประเด็นความหมายของคำว่า “มีชีวิต” ระหว่างหุ่นยนต์กับคนมากกว่านี้อีกหน่อย แต่ประเด็นที่เล่นเรื่อง “ทางชีวิตที่เลือก” นี่ก็เจ๋งไม่น้อย

ป.ล. ผมดูไปก็คิดว่า Hugh Jackman มันน่าจะ … แหม่ คาดหวังไปเองทั้งนั้น (เขาเล่นดีกับบทที่เราคาดไม่ถึงเรื่องนี้นะ)

Birdman มายาดาว

Birdman Poster

Birdman เล่าเรื่องความพยายามจะกลับมาสู่จุดรุ่งโรจน์อีกครั้งด้วยละครเวทีของ Riggan Thomson (รับบทโดย Michael Keaton) ดาราตกอับที่ทั้งชีวิตเล่นหนังดังอยู่แค่ Batman กับ Batman Returns Birdman 1-2-3 แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องไหนดังอีกเลย

สิ่งที่ชอบ:

  1. การแสดงอันทรงพลังของนักแสดงทุกคน (ย้ำว่าทุกคน) โดยเฉพาะ Michael Keaton ที่แม่งโคตรอิน
  2. ถ่ายทอดความสิ้นหวัง, ความพยายามที่จะได้รับการยอมรับและกลับไปสู่จุดสูงสุดของตัวเอกอีกครั้งได้ดีมาก
  3. เพลงประกอบดีมากๆ บีบคั้นได้ถูกจังหวะทั้งเรื่อง
  4. จิกกัดวงการดาราและนักวิจารณ์ได้แสบดี

สิ่งที่ไม่ชอบ:

  1. ความติสของหนังที่ปนทั้งความ real และความ surreal กันแบบแยกไม่ออกไปทั้งเรื่องให้เรางงเล่นกับความแนวของการเดินเรื่องและการกระทำของตัวละคร

สรุป: ผมบอกไม่ได้ว่าเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี บอกไม่ได้แม้กระทั่งว่าควรไปดูหรือเปล่า มันไม่ใช่หนังที่เหมาะสำหรับทุกคน (ผมเดินออกมาจากโรงยังงงๆ เลย) แต่ในฐานะแฟนของ Batman และ Batman Returns ผมชอบการแสดงของ Michael Keaton ในเรื่องนี้มากครับ