Netbeans vs Eclipse

ปกติงานของผมต้องเปิด project java ขึ้นมาลองแก้ลองรันโปรแกรมเพื่อเอาผลหรือ code ไปตอบลูกค้า ปกติผมก็ใช้ Eclipse แหละ เมื่อวานนึกได้ว่าลง Netbeans 8.0.2 ไว้นานแล้วก็ลองใช้มันทำงานหน่อยล่ะกัน

หลังจากเปิด Netbeans (ครั้งแรก) และ new project ขึ้นมา set up source code เสร็จ ก็นั่งจ้องมันอยู่สัก 2 นาที

ปิด Netbeans ลบ folder project ทิ้ง

เปิด Eclipse แล้วก็ใช้มันทำงานต่อไป…

My Best Gadgets of 2014

miniP1000094

Bravely Default

  • ข้อดี
    • สนุกมากกกก
    • Classic J-RPG ที่คิดถึงยังไม่ตาย!
  • ข้อเสีย
    • เงินหายากโคตร ;____;

iPad Mini 2

LUMIX G X VARIO 12-35mm F2.8 ASPH. POWER O.I.S.

  • ข้อดี
    • f 2.8 ตลอดช่วง
    • คม กันสั่น work ดี
  • ข้อเสีย
    • เจอแฟล์จังๆ ก็เงิบ
    • หนัก ;___;

LEICA DG SUMMILUX 15mm F1.7 ASPH

  • ข้อดี
    • f 1.7
    • คมโคตรๆ
    • กว้างกว่า 20 f/1.7 เยอะอยู่นะ
    • มีที่ปรับ f แบบ manual บนเลนส์
  • ข้อเสีย
    • เจอแฟล์จังๆ ก็เงิบ
    • ที่ปรับ f บนเลนส์หมุนง่ายไปหน่อย

Thinktank Retrospective 5

  • ข้อดี
    • ช่องเยอะมากกกก
    • ปรับแต่งที่ใส่กล้องได้เยอะจนใส่อะไรได้มากกว่าที่คิด
    • ผ้าแข็งแรงดี
    • ที่บุกันกระแทกหนาดี
  • ข้อเสีย
    • หนัก (มาก)
    • สายสะพายไหล่แข็งไปหน่อย (อยากได้แบบ Domke)

Call of Duty: Advanced Warfare

  • ข้อดี
    • Call of Duty กลับมาสนุกและโคตรลุ้นกับตัวเกมอีกครั้ง
  • ข้อเสีย
    • เนื้อเรื่องยังไม่ดราม่าและไม่ทำให้เราอินได้เท่า Modern Warfare series

BioShock Infinite: Burial at Sea (ไม่อยู่ในรูปเพราะเป็น DLC)

ป.ล. ของปีก่อน: My Best Gadgets of 2013

ผมเรียน JavaScript อย่างไร

4 ปีที่แล้ว project ที่ผมทำมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือเปลี่ยนจาก Java Applet มาเป็น JavaScript Ajax API ตามก้นชาวบ้านชาวช่องที่เลิกเขียน Applet กันไปเป็นปีๆ แล้ว

การเปลี่ยนครั้งนั้นนับว่าครั้งใหญ่เพราะทุกคนทั้ง dev, qa และ support ไม่มีใครรู้ JavaScript หรือ Ajax เลย ทาง dev และ qa นั้นนำร่องไปก่อนอยู่หลายเดือนกว่าที่ผมจะมีเวลาว่างไปศึกษามัน blog นี้ก็จะมาเล่าให้ฟังว่าผมศึกษา JavaScript ผ่านทาง API ตัวนั้นยังไง

  1. dev ให้ source code ของ api และ test page (version beta ทั้งคู่) มา
  2. qa สอนผมลง ajax server (เขียนด้วย c++), วิธี set environment ต่างๆ
  3. dev บอกผมว่าให้ใช้ firebug (สมัยนั้นยังไม่ support chrome) จับ network มาดู message ที่วิ่งระหว่าง server และ client
  4. ผมอ่าน source code, ลอง debug ทีละบรรทัดด้วย firebug และลองใช้ console.log ไล่ flow ของ code
  5. ผมลองแก้ code ต่างๆ เพื่อดูว่ามันจะทำงานยังไง
  6. syntax ไหนไม่เข้าใจว่าทำไม dev เขียนแบบนี้ก็ลอง google ดู ถ้ายังไม่เข้าใจก็ถาม dev ว่าทำไมเขียนแบบนี้ (วะ)
  7. พอ api ออก version production dev ก็สอนผมใช้เวบ jsbeautifier เพื่อ decomplie minify code

ส่วนพวก business logic ต่างๆ (ไม่เกี่ยวกับ syntax code) ส่วนใหญ่ก็ถาม dev เอาครับ มีบ้างที่มันซับซ้อนจน dev/qa ต้องทำเป็น powerpoint สอนทั้งทีมเลยก็มี

หลักๆ จะเห็นว่าวิธีการคือมีคนโยน code มาให้ –> ลองเล่น –> สงสัยก็ถาม มาตั้งแต่ version beta วิธีการนี้คงทำให้ผมพอที่จะเขียน code และแก้ไขปัญหาลูกค้าที่ใช้ JavaScript API ตัวนี้ได้ แต่ถามว่าเข้าใจ JavaScript ลึกๆ ไหม ก็ต้องตอบว่าไม่เลยครับ – -”

ถาม: ทำไมไม่เขียน CoffeeScript ครับ
ตอบ: ควย Code ที่ dev เขียนและลูกค้าใช้งานเป็น JavaScript เฟ้ย