Final Fantasy VII Remake

Final Fantasy VII (ขอเรียกว่า FF7) เป็นเกมภาคที่ 7 ในตระกูล Final Fantasy ซึ่งนับเป็นภาคที่ยกระดับวงการเกมและสร้างประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นเกมที่จุดกระแส JRPG ให้ดังในระดับโลก, เป็นภาคแรกของตระกูลที่เล่าเรื่องด้วย Full motion video + 3D ซึ่งทำให้เราเหมือนดูหนังไปพร้อมๆ กับเล่นเกมไปด้วย, เป็นเกมแรกของค่าย Square (ตอนนั้นยังไม่รวมกับ Enix) ที่ลงให้เครื่องค่ายอื่นนอกจาก Nintendo และเป็นหนึ่งในเกมที่ทำให้เครื่อง PlayStation ประสบความสำเร็จ, ตัวละครและเนื้อเรื่องดีทำให้คนเล่นยังประทับใจจนถึงทุกวันนี้, ระบบการเล่นเรียบง่ายแต่ติดพัน, มินิเกมก็เพียบ เพลงก็เพราะ, เป็นเกม JRPG เกมแรกที่ทิ้งโลกยุคกลางแบบเต็มตัวรวมไปถึงเป็นเกม JRPG เกมแรกที่กล้าฆ่านางเอกตายตั้งแต่แผ่นแรก เรียกได้ว่าพวกที่ทันเกมยุค 90 ต้องมีความทรงจำกับเกมนี้กันทุกคน

หลังจากนั้น Sony ก็ใช้ฉาก Title FF7 เป็น Tech Demo ให้กับเครื่อง PlayStation รุ่นต่อมาอยู่เรื่อยๆ ทำให้มีกระแสเรียกร้องให้มีการ Remake เกมนี้มาตลอดหลายสิบปี จนในที่สุดฝันของทุกคนก็เป็นจริงในอีก 18 ปีถัดมาเมื่อ Square Enix ประกาศทำ Remake เกมนี้ในงาน E3 2015 และใช้เวลาอีก 5 ปีกว่าจะปล่อย “ภาคแรก” ของการ Remake คือ Final Fantasy VII Remake (จะขอเรียกว่า FF7R) ออกเมื่อวันที่ 10 เมษาที่ผ่านมาบนเครื่อง PlayStation 4 ซึ่งผมเพิ่งเล่นจบไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาที่ผ่านมา สรุปใช้เวลาเล่นไป 1 เดือนเต็มๆ (62 ชั่วโมง)

ออกตัวก่อนว่าผมเล่นเกม FF7 บนเครื่อง PS1 ไม่จบ ค้างอยู่กลางๆ แผ่นสองซึ่งจำไม่ได้ด้วยว่าทำไมไม่เล่นต่อและไม่ได้เล่นพวกเกม Spin-off เกมอื่นด้วย พวกเนื้อเรื่องหลายอย่างนอกจากใจความหลักก็จำไม่ได้แล้ว ก็เลยเล่น FF7R แบบกึ่งๆ มือใหม่นิดหน่อยเพราะหลายเหตุการณ์ก็จำไม่ได้จริงๆ

FF7R เล่าเหตุการณ์ประมาณ 10-15% ของ FF7 แผ่นแรกเท่านั้นครับ (อย่าลืมว่า FF7 ใช้ 3 แผ่น CD เป็นเกมแรกด้วย) ตัวเกมเปลี่ยนจาก Turnbase RPG เป็น Action-RPG แบบแนวคล้ายๆ Final Fantasy XV/Kingdom Hearts การเดินเรื่องก็เป็นกึ่งๆ Open World ที่เราสำรวจแอเรียต่างๆ ในเมือง Midgar เพื่อทำ side quest ได้เกือบจะอิสระสลับกับเนื้อเรื่องบังคับ มีพวกมินิเกมนิดหน่อยพร้อมระบบ End game ที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น Hard Mode, Chapter Select หรือ Battle Mode ให้เล่นกันแบบยาวๆ เลยครับ

การเปลี่ยนมาเป็น Action RPG นี่ทำให้ตอนเล่นต้องเปลี่ยน Mindset จาก Turnbase แบบเก่าเยอะเลยเพราะว่าเราต้องบังคับตัวละครให้โจมตี หลบและบล็อคศัตรูเอง (ตัวไหนไม่ได้บังคับก็ auto โจมตีปกติหรือการ์ดไป) เพื่อเพิ่มเกจ ATB ที่จำเป็นในการใช้ Ability, ร่ายคาถาและใช้ Item ต่างๆ ตัวละครแต่ละตัวก็มีวิธีการเล่นต่างกัน ศัตรูใน FF7R ก็ไม่ได้ชนะกันได้ง่ายๆ เพราะเราต้องคอยใช้จับจังหวะการโจมตีของศัตรูและดูว่ามันมีจุดอ่อนอะไร แล้วค่อยโจมตีตรงนั้นเพื่อให้ศัตรูตกอยู่ในสภาวะ “Stagger” ที่จะทำให้ศัตรูมึนและค่าความเสียหายจะสูงขึ้น 160-200% เลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่การกดดันให้ศัตรูมัน Stagger นั่นก็ต้องใช้ Ability หรือคาถาที่มันแพ้ทางไม่ก็โจมตีให้ถูกจังหวะ มนต์อสูรก็ไม่ได้เรียกได้ดั่งใจอีก นั่นคือการต่อสู้ในเกมนี้คือการวางแผนโจมตี/หลบ/ป้องกันศัตรูให้ถูกจังหวะพร้อมๆ กับบริหารการใช้ค่า ATB ของทุกตัวละครให้ดีนี่เองครับ

FF7R สร้าง Midgar และ Wallmarket ออกมาได้ใหญ่โต ละเอียดยิบและอลังการมากครับ แม้ว่าเนื้อหาเกมทั้งหมดมันจะแค่ 10-15% ของ FF7 แผ่นแรกก็ตาม มีพื้นที่ให้สำรวจให้วิ่งเล่นเยอะแม้ว่าจะเป็นฉากที่เนื้อเรื่องบังคับเป็นเส้นตรง ไม่มีพวกฉากโง่ๆ แบบ Chapter รถไฟ FF15 แน่นอน ตัวละคร NPC ที่เราเจอก็มีบทสนทนาที่น่าสนใจ ทำให้เราอินกับโลกของ FF7R มากขึ้นกว่าสมัย FF7 อีกครับ


Wallmarket นี่รายละเอียดเมืองยิบเลย

เกมนี้ใช้ Unreal 4 engine เกมเล่นลื่นไหลดีมากไม่ว่าจังหวะชุลมุนหรือฉาก Cutscene ต่างๆ ไม่มีกระตุกเลย ผมเจอปัญหา Model ตัวละครเบลอๆ หรือ Texture ลดความละเอียดจนน่าใจหายอยู่บ่อยเหมือนกัน แต่เข้าใจว่าคงเพื่อรักษา framerate แหละ ถ้าบน PS4 Pro คงไม่เจอปัญหานี้มั้ง

เกมแบ่งเนื้อหาออกเป็น Chapter ซึ่งมีทั้ง Chapter ที่ปล่อยเราทำโน่นทำนี่อิสระกับแบบ Chapter เนื้อหาหลักลุยอย่างเดียวสลับกันไป ถือว่าทำได้ดี เพราะมีจุดให้คลายอารมณ์บ้าง เว้นแต่ช่วงท้ายๆ ที่มีช่วงที่อืดสุดๆ กับที่อัดจนแน่นจนรู้สึกเหนื่อยมาก แต่โดยรวมถือว่าเดินเรื่องดี ฉาก Movie และ Cutscene ต่างๆ สร้างอารมณ์ร่วมให้กับเราได้ดีทุกฉากเลย เล่าเรื่องเดิมในมุมมองใหม่ได้ดี ส่วนตัวผมชอบ Chapter 9 ที่สุดล่ะ ครบทุกรสจริงๆ นอกจากนี้เกมยังเล่าเรื่องตัวละครรองๆ อื่นเพิ่มขึ้นมากทำให้เราเข้าใจความคิดเนื้อเรื่องและการกระทำของตัวละครที่เราสนใจผ่านๆ สมัยเล่น FF7 ได้ขึ้น

ส่วนความยากของเกมผมว่ามันตึงๆ มือจนไปถึงยากนะ หัวร้อนนิดหน่อยเวลาเจอศัตรูที่จับ pattern ยากหรือไม่รู้จะ Stag มันยังไง (มีบางคนบอกว่าง่ายไปก็มี) แต่ที่ยากกว่าบอสคือมินิเกมครับแม่งหัวร้อนของจริงเลย เล่นเป็นชั่วโมงแม่งยังไม่ผ่าน


ทีมงานน่าจะชอบแมวเพราะเกมนี้น้องแมวเยอะมากกกก


น้องงงงงงงงงงงงง

อีกอย่างที่แสดงความเป็น “สมัยใหม่” ของเกมนี้คือเราสามารถ Save เกมตรงไหนก็ได้ตอนไหนก็ได้แล้วครับ (เว้นแต่ตอนบังคับเนื้อเรื่องนะ) ไม่ต้องวิ่งไล่หาจุด save แล้ว สบายขึ้นมาก แถมยังมีจุดพักให้เราฟื้น HP/MP กับตู้กด item ไว้ซื้อขายของตลอดทาง

สิ่งที่ไม่ชอบคือระบบต่อสู้ที่ทุกคำสั่งของเราถูกรบกวนด้วยจากการโจมตีของศัตรูหรือ Cutscene ครับ แบบเราวิ่งหนีไปไกลๆ แล้วกดคำสั่งร่ายเวทย์แล้วแม่งโดนโจมตีระยะไกลพอดีเลยเสียทั้ง ATB ทั้ง MP แต่เวทย์ไม่ออกงี้ หรือกดใช้ Limit Break ปุ๊บเข้า Cutscene ศัตรูแปลงร่างปั๊บก็เสีย Turn เสีย Limit Break และ ATB ไปฟรีๆ แบบศัตรูไม่เสียเลือดเลยซะงั้น แล้วเจอแบบนี้บ่อยมากกกกทำให้หงุดหงิดตลอดเวลาสู้กับบอสในเกม อีกอย่างคือเงินหายากเหลือเกิน สู้มอนทีได้เงินมาน้อยนิดไม่พอค่า item ค่ามาทีเรียเลย


สวยวัวตายควายล้ม

ส่วนข้อเสียที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับผมคือไม่รู้ว่าต้องรออีกกี่ปีกว่าจะได้เล่นภาคต่อไปและเมื่อไหร่มันจะจบ คือภาคนี้ได้ 10% แล้วรออีก 3-5 ปีได้เล่นอีก 10% มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนา

แต่ถึงจะรู้ว่าเล่นแล้วต้องรอเล่นภาคต่อที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ตอนสู้ก็หงุดหงิดกับความยากหรือโดน Cutscene บ้าง แต่ยังไงมันก็เป็น 60 กว่าชั่วโมงที่สนุกมากครับ มันทำให้ผมขำ อมยิ้ม หัวร้อนจนเกือบปาจอย ตื่นเต้นตอนสู้กับศัตรูและทำให้ระลึกความหลังสมัยเล่นเกม FF7 ครั้งแรกเมื่อ 23 ปีก่อนบน PS1 ได้เป็นอย่างดี

ป.ล. สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเล่น FF7 มาก่อน ผมไม่แน่ใจว่าจะอินกับเนื้อเรื่องหรือฉาก Service ต่างๆ ไหมเหมือนกัน แต่โดยรวมผมว่ามันก็เป็นเกม Action RPG ที่เล่นสนุก ภาพสวยอยู่ดีแหละ

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.