สรุปทริป เลห์ – ศรีนาคา

เมื่อวันที่ 6 เมษาถึง 17 เมษาที่ผ่านมา ผมหนีร้อนไปเที่ยวประเทศอินเดียมาครับ รอบนี้ไปเมือง Leh (เมืองหลวงของแคว้น Ladakh) กับเมือง Srinagar ซึ่งอยู่ในรัฐ Jammu and Kashmir ที่อยู่ด้านบนของอินเดียและมีชายแดนติดกับประเทศปากีสถานและจีน

รอบนี้เป็นการไปเที่ยวอินเดียรอบที่สองของผมครับ (รอบที่แล้วไป Sikkim ที่อยู่ขวาบนของประเทศ) และก็ยังเป็นทริปที่ดิบ-โหด-มัน-ฮาที่สุดในรอบหลายปีเหมือนรอบนั้นเลย

  • วันที่ 6 เมษายน:
  • วันที่ 7 เมษายน:
    • นั่ง taxi ไปสนามบินเดิม (terminal 1) แล้วนั่งสายการบิน GoAir ไปลงที่ Kushok Bakula Rimpochee Airport เมือง Leh ด้วยความลุ้นเพราะว่า flight ยกเลิกไหมเพราะอากาศที่ Leh แย่มาก
    • Guide toure มารับไปโรงแรม Noble House Leh
    • นอน (นอนจริงๆ เพื่อปรับร่างกาย)
    • ไป Leh Palace
    • ไป Shanti Stupa
    • ไป Leh Moti Market
  • วันที่ 8 เมษายน:
  • วันที่ 9 เมษายน:
  • วันที่ 10 เมษายน:
    • ไป Trekking ที่ Stok Kangri (เดินเบาๆ ไปกลับประมาณ 4 ชั่วโมงครับ)
    • ไปเยี่ยมชมบ้านโบราณพร้อมทานอาหาร Ladakh ต้นตำรับ
    • ไป Stok Monastery กับพระราชวังดาไลลามะ
  • วันที่ 11 เมษายน:
    • ไม่ได้ไปไหน ไกด์หายไป 12 ชั่วโมง Orz
    • เดินเล่น+shopping ที่ Moti Market 2 รอบ
  • วันที่ 12 เมษายน:
  • วันที่ 13 เมษายน:
  • วันที่ 14 เมษายน:
    • ไปเที่ยวภูเขาหิมะ Gulmarg
  • วันที่ 15 เมษายน:
    • ไปเที่ยวภูเขาหิมะ Sonmarg
  • วันที่ 16 เมษายน:
    • นั่งๆ นอนๆ กลิ้ง
    • นั่งเครื่องบินกลับ Delhi (นั่ง IndiGo)
  • วันที่ 17 เมษายน:
    • นั่ง TG กลับไทยโดยสวัสดิภาพ

Blog New Delhi: ตอนที่ 1, ตอนที่ 2, วันกลับ

Blog Leh: ตอนที่ 1, ตอนที่ 2, ตอนที่ 3

Blog Srinagar: ตอนที่ 1, ตอนที่ 2, ตอนที่ 3, ตอนที่ 4

ทริปนี้เป็นทริปที่ไปเที่ยวนานที่สุดที่เคยไปครับ คือปกติไปมากสุดก็ 10 วันแต่นี่ล่อไป 12 วันเลย ไปกันทั้งหมด 8 คน ซึ่งพอดีเพื่อนที่ทำ hostel อยู่ในไทยรู้จักกับ backpacker อินเดียที่ทำโปรแกรมทัวร์อยู่ (Himalaya Insight) ก็เลยให้เขาจัดโปรแกรมในเมือง Leh และ Srinagar ให้ คือไปเองแหละ แต่มี package ทัวร์ที่จองโรงแรม (มีอาหารเช้าและเย็น), วางโปรแกรม, มีไกด์และคนขับรถให้ในเมือง Leh และ Srinagar ให้ ส่วนเครื่องบินและอาหารกลางวัน (รวมถึงที่ Delhi) ต้องหาเอง ซึ่งการใช้บริการทัวร์นี้ (เป็นครั้งแรก) ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นแหละ แต่ก็แลกมาด้วยความสะดวกสบายที่ไม่ต้องวิ่งไปหาโรงแรม,รถ, taxi รวมถึงซื้อตั๋วที่เที่ยวเอง ก็ทำให้ทริปง่ายขึ้นกว่าตอนไปสิกขิมที่ต้องนั่งเป็นชั่วโมงเพื่อรอเพื่อนไปหาโรงแรมกะหาคนขับรถเหมาไปเที่ยวครับ

ทริปนี้ยังเป็นทริปแรกในรอบหลายปีของผมเช่นกันที่แทบจะไม่มี internet เล่นเลยทั้งทริป (ได้เล่นเนต 3 วันจาก 12 วัน) คือจริงๆ ตอนแรกว่าจะเอา Sim2fly ไปแหละ รู้ว่าเล่นที่ Delhi ได้แน่ๆ แต่ว่าอยู่ Delhi แค่ 2 วัน ส่วนเมืองอื่นหาข้อมูลมาแล้วว่าไม่มีสัญญาณเลยไม่ได้เอาไป ซึ่งสุดท้ายก็คิดถูกจริงๆ (มั้ง) เพราะว่า Leh นี่ net ดับไฟดับไป 4 วัน ส่วนที่ Srinagar นี่ไม่มีเนตเลย (ไฟดับบ่อยๆ ด้วย) ก็ให้ความรู้สึกเหมือนตอนไปเที่ยวยุคก่อนที่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลยดี (แต่เลือกได้ก็ขอมีเนตอ่ะนะ)

อาหารการกินของเมืองที่ไปก็ยังคงเป็นแบบอินเดียแหละครับ คือเครื่องเทศเยอะ อาหารก็มีแต่ Veg (มังสวิรัต) หรือไม่ก็พวกเนื้อไก่, เนื้อแกะ แต่รอบนี้อาหารนับว่าดีกว่าสมัยเที่ยว Sikkim ที่มีแต่ข้าว+ถั่วต้ม+หอมใหญ่ฝานมาก คือมีทั้งบะหมี่, เนื้อไก่ทุกมื้อ, chicken masala , ไข่ต้ม, ไข่เจียว, ไก่ทอด ยิ่งอาหารที่ Srinagar นี่อร่อยมาก เนื้อแกะและไก่เขาปรุงได้อร่อยจริงๆ ฟินทุกมื้อเลยครับ อ้อ ขอยก momo ไว้อย่าง ที่สิกขิมอร่อยกว่าเยอะ

ที่โหดมันฮาที่สุดของทริปนี้คือที่ Leh ครับ ด้วยความที่มันเป็นปลายหน้าหนาวเขา อุณหภูมิกลางคืนประมาณ -5 ถึง -8 กลางวันก็ไม่ถึง 10 แถมลมก็แรง เสื้อผ้ากันหนาวผมเลยจัดค่อนข้างเต็มไป คือด้านบนอัดไป 5 ชั้น ด้านล่าง 2 ชั้น (ลองจอน+กางเกงยีนส์) ถุงเท้าก็สองชั้น เรียกได้ว่าพร้อมสู้อากาศหนาวซึ่งสุดท้ายก็แพ้ที่ขาตัวเองนี่แหละ กางเกงยีนส์+ลองจอนมันกันไม่อยู่จริงๆ, ถุงมือ Uniqlo ที่เตรียมไปก็กันหนาวระดับนั้นไม่ได้สักนิด สุดท้ายก็ซื้อถุงมือกับอุปกรณ์กันหนาวถูกๆ ที่โน่นแทนซึ่งอุ่นมากๆ เลย แต่ที่หนักสุดคือเมือง Leh มันสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 3500 เมตรจากระดับน้ำทะเล (11,500 ft) ซึ่งเป็นความสูงที่ “ผิดปกติ” สำหรับคนทั่วไปแบบเราๆ ความกดอากาศจะต่ำและออกซีเจนจะเบาบางมากๆ จนทำให้เกิดอาการโรค (Altitude sickness – acute mountain sickness)ได้ครับ ซึ่งผมก็เกิดนิดหน่อย แต่ก็กินยา Diamox ไป 1 เม็ด (ปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อยา), ใช้เวลาปรับตัวเยอะๆ (นอน-ทำอะไรช้าๆ)และดื่มน้ำเยอะๆ ก็ผ่านอาการทั้งหลายไปได้ด้วยดี (ข้อมูลอาการ AMS ภาษาไทย 1, 2)

นอกจากโหดแล้วโปรแกรมที่ Leh ยังคาดเดาอะไรไม่ได้เลยด้วยเพราะว่าดันไปเจอหิมะตกครั้งแรกในรอบหลายปีจนถนนปิด อดไปที่เที่ยวระดับ Highlight อย่าง Sham Valley, Nubra Valley และ Pangong Lake เลย T^T แต่ที่ Leh ก็เป็นที่วิวสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกระดับ AAA สมกับความสูงและความหนาวจริงๆ มองไปทางไหนก็เจอแต่ภูเขาและภูเขาหิมะยาวสุดลูกหูลูกตา เรียกได้ว่าระหว่างทางนั่งรถไปจริงๆ จอดมันได้ทุกโค้งอ่ะครับ ผู้คนก็ออกแนวๆ ทิเบตหน่อย นิสัยดี ไม่ถึงกับ friendly สุดๆ แต่ก็ต้อนรับนักท่องเที่ยวดี พ่อค้าแม่ค้าไม่มีตุกติก ไม่มีตามตื้อให้น่ารำคาญ ไม่โดนโกงอะไรที่นี่เลย เดินในเมืองได้อย่างสบายใจ

ส่วนที่ Srinagar ก็โหดมันส์ฮาไม่แพ้กันครับ อากาศสบายกว่า Leh เยอะเพราะว่าประมาณ 20 องศากำลังเย็นๆ สบายๆ แต่ว่าพวกเราระทึกตั้งแต่ถึงสนามบินแล้วเพราะตำรวจและทหารในชุดพร้อมรบอาวุธครบมือเต็มไปหมด, เป็นเมืองที่ตรวจความปลอดภัยบ่อยมากก ที่สนามบินมีตรวจกระเป๋าซ้ำไปมาถึง 4 รอบ ส่วนในเมือง, สะพานและตามตึกต่างๆ ก็มีแต่ทหารถือปืนเต็มไปหมด ผู้คนใน Srinagar และที่เที่ยวก็เป็นอีกแนวเลยครับกลายเป็นแนวๆ อิสลามไปเลย บ้านเมืองคนก็เยอะและพลุกพล่านกว่า พ่อค้าในเมืองนี้ตุกติกมาก (ต้องนับเลขดีๆ เลยล่ะ) และตามตื้อตามจิกมากก แต่คนที่ไม่ใช่พ่อค้าก็นิสัยดี ที่สำคัญคือสาวๆ สวยมาก (แฮร่) ออกแนวแขกขาวดีๆ นี่เอง

ที่น่าผิดหวังที่สุดในทริปนี้คือเมือง Delhi ครับ คือมันวุ่นวาย, เสียงดังมาก (ไอ้ขับรถบีบแตรถล่มใส่กันนี่แม่งเป็นทุกเมือง), ร้อนนมากก, สกปรก ขนาดผมเดินเที่ยว Kolkata มาแล้วมันยังไม่ wtf ขนาดนี้เลย (อันนั้นรู้สึกสนุก อเมซิ่งมาก) ถามทางคนก็ไม่รู้ไม่ก็ชี้มั่วๆ จนหลงทางกันเป็นชั่วโมง คือถ้ามาอากาศเย็นกว่านี้ก็คงชอบมันน่ะครับ แต่สภาพตอนเดินเดลีในทริปนี้มันไม่ไหวจริงๆ – -” เรียกได้ว่าพอถึงวันที่ 11 กลับเดลีปุ๊บนี่พวกผมคุยกันว่านับว่าจบทริปแล้วเลยครับ อ้อ ที่น่าสนใจคือรถ subway เขามีตรวจกระเป๋าและตรวจร่างกายก่อนเข้าสถานีครับ ความเข้มของการตรวจนี่อยู่ในระดับสนามบินเลย ไม่ใช่เปิดกระเป๋าส่องไฟบ้างไม่ส่องบ้างแบบบ้านเรา

สรุปแล้วทริปนี้เป็นอีกทริปที่สนุก โหด มันส์ ฮา และหนาวมากๆ ครับ เป็นทริปที่หัวหกก้นขวิดที่สุดในรอบหลายปี (ครั้งสุดท้ายก็จีนที่ไปคุนหมิงอ่ะ) เลยทีเดียว ถ้ามีโอกาสก็อยากไปจะไปแก้ตัวที่เมือง Leh อีกรอบ (เพราะชุดกันหนาวที่ดีกว่านี้) ครับ (หรือไปเมืองอื่นก็ได้ แต่ขอทิ้งระยะหน่อยนะ)

ป.ล. ค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทาง (ค่ากิน, ค่าโรงแรมที่เดลี, ค่า shopping) ใช้ไปทั้งหมด 11990 INR === 6294.75 THB (เรท 0.5250) ครับ คือค่าครองชีพเขาถูกมาก shopๆ ไปเหอะ
ป.ล.2: ถ้ารวมค่าเครื่องบินและค่า package tour ด้วยจะเป็น 41340.75 THB เลยทีเดียว เพราะตั๋วเครื่องบินแพงอยู่ ยิ่งผมจองช้าด้วยยิ่งแพง
– ค่าเครื่องบิน TG: 10,665.00 THB
– ค่าโปรแกรมทัวร์: 15000
– ค่าเครื่องบิน Delhi – Leh: 2516
– ค่าเครื่องบิน Leh – Srinagar: 4330
– ค่าเครื่องบิน Srinagar – Delhi: 2545 THB

11 thoughts on “สรุปทริป เลห์ – ศรีนาคา

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.