ต่อจากตอนที่แล้วนะครับ ในที่สุดก็มาถึงวันสุดท้ายและตอนสุดท้ายของ series นี้ซะที (เย้) วันนั้นผมรีบตื่นแต่ 7 โมงเพื่อไปสนามบินให้ทัน 9 โมงครับ ก่อนจะออกก็ขอถ่ายรูปสภาพห้องไว้หน่อย อยู่มาหลายวันไม่เคยถ่ายเลย
สภาพ “แคปซูล” หรือรูนอน เห็นแบบนี้นั่งขัดสมาธิได้สบายนะ
ผมเพิ่งเคยนอน hostel แบบแคปซูลเป็นครั้งแรกครับ บอกตรงๆ ว่าประทับใจมากคือราคาถูกกว่าโรงแรมแน่นอน แพงกว่า hostel ปกตินิดหน่อยแต่ได้ความเป็นส่วนตัวขึ้นเยอะ เรื่องห้องน้ำรวมไม่มีปัญหาสำหรับผมอยู่แล้ว ถือว่า balance ได้ดีระหว่างราคากับความเป็นส่วนตัวครับ มีโอกาสหน้าต้องนอนแบบนี้อีกแน่นอน
ตอนแรกผมว่าจะไปสนามบินทาง Subway แบบขามาครับ แต่พนักงานคนไทยที่ Hostel บอกว่ามีรถเมล์จาก bus station ตรงสถานี Hakata ไปถึงสนามบินเลยนะ ถูกกว่าด้วย ใช้เวลา 20 นาทีถึง International Terminal เลย ผมก็เลยเปลี่ยนแผน (ก่อนที่จะรู้ว่าคิดผิดเมื่อสาย)
เอาเข้าจริงผมเสียเวลาไปกับการหา Bus station มาก แถมป้ายบอกทางก็งงอีก ไปผิดว่าต้องไปรอ stop ไหน ก็เลยตกรถรอบ 7.20 ไป – -” ผมไม่มีทางเลือกนอกจากรอรถรอบ 7.50 ซึ่งกว่ารถจะมาก็ตอน 7.55 โน่นแหนะ มานึกย้อนไปแล้ว ยอมนั่งรถไฟใต้ดินไปอาจจะสบายและสะดวกกว่าเยอะนะครับ
ยืนรอรถ
พอขึ้นรถก็เจอรถติดวันจันทร์เช้าอีก รถติดบรรลัยเลยครับ ลุ้นสุดๆ ว่าจะไปถึงสนามบินทันไหมตลอดทาง
รถถึงสนามบินตอน 8.15 ครับ ซึ่ง Counter Jetstar ยังไม่เปิดให้บริการแต่คนไปต่อคิวรอยาวมากกกกแล้ว (คนไทยเพียบ) กว่า counter จะเปิดก็ 8.30 ครับ
หลังจากนั้นก็เข้าตรวจกระเป๋าและตมที่คิวยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ผมนึกได้ว่าลืมซื้อของที่เพื่อนฝากซื้อตอนคนข้างหน้าโดนเจ้าหน้าที่เอาของแบบเดียวกับเพื่อนฝากซื้อโยนทิ้งต่อหน้านี่แหละ โชคดีที่ใน Duty free มี ส่วน Duty free สนามบินไม่ค่อยมีอะไรมากนัก แต่มี Royce’ ร้านใหญ่ๆ ให้เลือกซื้อกลับบ้านแน่นอน
บรรยากาศใน gate ก็ดอนเมืองบ้านเรานี่แหละ
พอมาถึง gate ถึงได้รู้ว่าที่นั่งแม่งไม่ตรงกับที่ web checkin ไว้ … แล้วจะให้กรูเชคอินล่วงหน้าทำแมวอะไร (วะ) รอสักพักก็ได้ขึ้นเครื่องครับ
พอขึ้นเครื่องได้ก็พบกับประสบการณ์บนเครื่องบินที่บัดซบที่สุดที่เคยเจอมาตั้งแต่นั่งข้างเด็กที่เด็กแม่งร้องไห้ตลอด flight ไม่ว่าจะเรื่องไม่อยากรัดเข็มขัดเอย ห่าเหวอะไรสักอย่างเอย, เครื่องบินสูงจนปวดหูข้ามวันก็ไม่หาย, อยู่ๆ คนญี่ปุ่นข้างหน้าแม่งหันมาอ้วกใส่หน้าต่างแล้วชิ่งมาข้างหลังเกือบโดนผม บอกได้คำเดียวว่าเหี้ยสุดๆ อ่ะ – -” ถ้าได้ที่นั่งตรงกับที่ web check-in มาก็ไม่เจอแล้ว สาดด
Flight นั้นถึงไทยตามเวลาที่ตั้งไว้ ผมก็ฝ่าฝูงชนเดินทางกลับบ้านแบบปวดๆ หูไปอีกหลายวันกว่าจะหาย
ก็จบ series เที่ยวคิวชูทั้งหมดไว้เท่านี้ก่อนครับ เป็นทริปที่เที่ยวสนุกมากๆ ประทับใจเกือบทั้งทริปเลย เป็นการเที่ยวคนเดียวที่ค่อนข้างจะไม่มีจังหวะพลาดเลย (เว้นแค่ตอนจำเวลากลับที่ Kumamoto ผิด), ออกนอกแผนก็ยังสนุก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะมีแผนเที่ยวให้ลอกอยู่แล้ว (ฮาาา)
สำหรับผมแล้วคิวชูนี่เที่ยวง่ายมากครับ รถไฟไปถึงทุกจังหวัด นั่ง JR ได้ทั้งหมดไม่ต้องมางงรถไฟหลายเจ้าแบบคันไซ สถานที่ท่องเที่ยวก็มีขนส่งมวลชนเข้าถึงทั้งหมด ร้านอาหารก็เยอะ ผู้คนก็สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้ คิดว่ามีไปซ้ำแน่นอนครับเพราะยังเหลือจังหวัดที่ไม่ได้ไป (ทางใต้ทั้งหมด) อีกเพียบเลย ^^
Link:
– สรุปทริปคิวชู
One thought on “สะพายกล้องเที่ยวคิวชู #6: Goodbye Kyushu”