หนึ่งในตราบาปที่ทุกคนประนามหยามเหยียดผมมาตลอดคือ “เป็นติ่งเกาหลีแต่ไม่เคยไปเที่ยวเกาหลี” คือจริงๆ น่ะอยากไป แต่เพื่อนมันไปกันหมดแล้ว เลยไม่มีใครไปอีกแล้วรวมถึงไม่มีใครชวนด้วย (คือเพื่อนไม่คบนั่นเอง) พอดีรอบนี้ก๊วนน้องติ่งเกาหลีด้วยกันชวนไปดูคอน GIRLS’ GENERATION 4th TOUR – Phantasia – in SEOUL พอดีก็เลยมีโอกาสไปเที่ยวเกาหลีมา 5 วันพร้อมกับดูคอนเป็นของแถมครับ
รายละเอียดการเที่ยวมีดังนี้ครับ
- วันที่ 20 พฤศจิกายน (blog ตอนที่ 1,2,3)
- เดินทางด้วย AirAsia X ไปถึงโซล (Seoul – 서울)ตอนประมาณบ่ายสามโมง
- เห็นคนโดนเรียกเข้าห้องเย็นต่อหน้าต่อตา เลยยื่น passport เก่าไปพร้อมกับ passport ใหม่ที่เพิ่งทำ (หน้าขาวโล่งเลย) รอดมาได้ครับ
- นั่งรถไฟใต้ดินจากสนามบินอินชอน (인천국제공항역) ไปย่านฮงแด (홍대)
- เข้าที่พัก House 740 ที่นี่ใช้ระบบกด password หมดเลย ไม่มีกุญแจหรือการ์ดอะไรทั้งนั้น
- หาอะไรกินแล้วนั่งรถเมล์ไปเดินชมงานโคมไฟที่คลองชองเกชอน (Cheonggyecheon Stream – 청계천) หลงกับเพื่อนด้วยยยย – -“
- เดินเล่นย่านฮงแด
- วันที่ 21 พฤศจิกายน (blog ตอนที่ 1,2, ดูคอน, 3)
- ตื่นแต่เช้าไป Olympic Gymnastics Arena (เรียก Olympic Park ละกัน) เพื่อซื้อของที่ระลึกงานคอน
- ไป ควางฮวามุน (Gwanghwamun Square – 광화문광장)
- เดินพิพิธภัณฑ์พระเจ้าเซจงมหาราช (세종대왕) กับพิพิธภัณฑ์นายพล Yi Sun-sin (李舜臣)
- ไป Kyobo Book Centre (교보문고)
- กลับที่พัก แล้วออกไปดูคอน (จะเขียนแยกอีก entry นึงละกัน)
- กลับมากินหมู/เนื้อย่างเกาหลีย่างฮงแด แล้วก็เดินเล่น
- วันที่ 22 พฤศจิกายน (blog ตอนที่ 1,2, 3)
- ตื่นแต่เช้าไป War Memorial of Korea (전쟁기념관)
- ไปกินไก่ย่างซัมซุง
- ไปวัง Gyeongbokgun (경복궁) แต่ซื้อตั๋วไม่ทัน อ๊ากกก
- ไป National Palace Museum of Korea (국립고궁박물관)
- ไป National Museum of Korean Contemporary History (대한민국역사박물관)
- ไป Dongwha Duty Free
- ไปเดินเล่นย่าน Ewha Shopping Street ซึ่งอยู่แถวๆ มหาวิทยาลัยสตรีอีแด (이화여자대학교 – เกาหลีอ่านอีแด ภาษาอังกฤษเขียน Ewha งงดิ)
- วันที่ 23 พฤศจิกายน (blog ตอนที่ 1,2,3)
- ตื่นแต่เช้าไปเดินเหล่สาวย่านอีแดอีกรอบ
- ไปย่าน กังนัม (강남구)
- ไปSamsung D’light (삼성전자 홍보관(딜라이트) สนุกดี
- ไป Coex Mall (코엑스몰) ไปซื้อของบูชาไอดอลที่ SMTOWN Coex Artium
- เดินเล่นย่าน Myeongdong (명동)
- ซื้อขนมที่ Lotte Mart
- กลับไปที่พัก แล้วออกมากินข้าวเป็นหมูหมึกกุ้งกะทะร้อนย่านฮงแด เผ็ดมาก แล้วปิดด้วยบิงซู อร่อยสุด
- วันที่ 24 พฤศจิกายน (blog ตอนที่ 1)
- ตื่นแต่เช้าไปเดินที่ Insa-dong (인사동) แต่ไปเช้าไปหน่อย ร้านยังไม่เปิด
- กลับที่พัก ไปแลก tax refund ของ Cube แถวๆ ฮงแด
- นั่งรถ Subway ไปสนามบินอินชอน
- จัดการ tax refund ของ Global Blue
- นั่ง AirAsia X กลับไทย เจอเด็กนรกร้องไห้ตลอด flight
- ถึงไทยโดยสวัสดิภาพ โดนศุลกากรจับแสกนกระเป๋าทุกคน
เพื่อนๆ ร่วมทริปส่วนใหญ่ในทริปนี้มาเที่ยว (และตามติ่ง) เกาหลีไม่ต่ำกว่า 5 รอบแล้วครับ ผมก็อาศัยตามเขาไปทุกอย่าง แทบไม่ได้คิดเองเลย มีชิ่งไปเที่ยวเองบ้างอยู่สองสามที่ซึ่งก็ใช้วิธีนั่ง subway ไป โปรแกรมที่ใช้คือ Subway Korea ซึ่งใช้แบบ offline ได้ บอกสถานีที่ต้องขึ้นเป๊ะๆ เลย ช่วยได้เยอะครับ การเดินทางก็ค่อนข้างง่ายเพราะบน Subway และรถเมล์ส่วนใหญ่จะมีจอแสดงชัดเจนว่าถึงสถานีไหนแล้ว (ประกาศเป็นภาษาอังกฤษด้วย) ป้ายรถเมล์ก็มีบอกว่ารถแต่ละสายไปไหนบ้าง (แต่เป็นเกาหลีนะ) ถนนหนทางก็มีป้ายภาษาอังกฤษเยอะพอดู ตั๋วต่างๆ ก็ใช้บัตร T-money ร่วมได้ทั้งหมด สถานี subway ก็มีป้ายบอกทางชัดเจน เรียกได้ว่าขนส่งมวลชนเขาดีกว่าบ้านเราเยอะ
สำหรับอาหารการกินนี่ต้องบอกว่าประเทศนี้ไม่มีคำว่าพอดีครับ คือบางอย่างมันเขียนว่า spicy ก็ไม่เผ็ดเลย บางอย่างบอกว่า little spicy แม่งก็เผ็ดฉิบหาย – -” ถ้าเป็นร้านเล็กๆ จะไม่มีเมนูภาษาอังกฤษให้ก็ต้องเดาเอง อาหารรสชาติก็จัดๆ แบบแปลกๆ ดี (ก็อร่อยนะ) แต่ร้านอาหารเปิดกันสายพอดู ถ้าใครสายเมาแล้วชอบเบียร์ต่างประเทศเยอะๆ น่าจะถูกใจเพราะเบียร์ที่นี่ถูกและหาง่ายมากมาก แต่ถ้าสนใจเบียร์เกาหลีก็มี 2 ยี่ห้อเท่านั้นเอง ส่วนพวกโซจูนี่เยอะเลย (แต่เห็นอยู่ยี่ห้อเดียวนะ) ถ้ากะเมาจนเละก็น่าจะถูกใจเพราะที่นี่แม่งเมากันตั้งแต่หัวค่ำ สองสามทุ่มแม่งยืนอ๊วกกันริมถนนแล้ว – -” ร้านอาหารและผับก็ปิดกันดึกอยู่
การเที่ยวครั้งนี้เป็นการเที่ยว Seoul 50% + ติ่งอีก 50% ครับ เมือง Seoul นี่รู้สึกได้ถึงความสมัยใหม่ (ขนาดวังโบราณยังดูใหม่เลย เพราะสร้างใหม่จากการโดนญี่ปุ่นเผา) แบบไม่เนี๊ยบเท่าไหร่นัก (ซัมซุงจริงๆ) แต่ก็มีที่เที่ยว สถานที่สวยๆ ให้เที่ยวเยอะจนไปไม่ครบ บ้านเมืองค่อนข้างสะอาด ดูโปร่งๆ ไม่แออัด ถ้าให้เทียบก็คือดูใหม่และดูสะอาดกว่าฮ่องกง/ไต้หวัน แต่ความเนี๊ยบความน่ารักยังไม่เท่าญี่ปุ่น สำหรับที่ช้อปปิ้งก็เยอะมากโดยเฉพาะเครื่องสำอางกับแฟชั่นสาวๆ (ของผู้ชายน้อยกว่าเยอะ) แต่ข้อเสียคือ Tax Refund ดันมีหลายเจ้าและที่แลกก็คนละที่กันซะงั้น ถ้าใครชอบพิพิธภัณฑ์จะฟินมากเพราะมีเพียบแถมยังฟรีด้วยครับ แต่เรื่องการสื่อสารภาษาอังกฤษนี่ผมรู้สึกว่ายังสู้ญี่ปุ่นตอนนี้ไม่ได้แฮะ คือถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่หรือร้านอาหารใหญ่ๆ จริงๆ นี่จะไม่ได้เลย เรื่องระเบียบก็เหมือนจะมีบ้าง (คือมากกว่าไทยและจีนแน่นอน แต่ก็ไม่เท่าญี่ปุ่น)
สำหรับเรื่องติ่งนี่ก็ฟินมากทั้งคอนเสิร์ต ทั้ง shop ที่ซื้อของที่ระลึกมาบูชา รวมไปถึงป้ายโฆษณา, รายการทีวี, ของฝากต่างๆ ที่เหล่า idol K Pop แฝงอยู่แทบจะทุกถนนทุกซอย เรียกได้ถ้าจะเสียเงิน หรือแค่สัมผัสแบรนด์ที่ idol โฆษณานี่ถูกใจแน่นอน
ช่วงที่ไปคือปลายช่วงใบไม้เปลี่ยนสี+เข้าสู่หน้าหนาวพอดี รอบนี้เตรียมตัวมามากกว่าตอนไปจีนระดับหนึ่งคือจัดลองจอนทั้งเสื้อและกางเกงไปด้วยซึ่งก็ช่วยได้เยอะอยู่เพราะอากาศเกาหลีหนาวมาก ลมก็แรงสุดๆ แต่ถ้าจะให้อุ่นจริงๆ ก็ต้องจัดเสื้อหนาวให้หนาๆ + เสืออีกชั้น + ลองจอนล่ะก็อยู่แน่นอน
เรื่องค่าเที่ยวค่ากินก็ไม่แพงครับ สินค้าหลายๆ อย่างก็ถูกกว่าบ้านเราเยอะด้วย ทริปนี้ใช้ค่ากินค่าเที่ยว (ไม่รวมค่าเครื่องบิน, ค่าช้อปปิ้งที่รูดบัตร,ค่าที่พักและค่าคอนเสิร์ต) ไป 173,000 วอนหรือประมาณ 5,449.5 บาท (เรท 0.0315) แต่ถ้ารวมทุกอย่าง (ไม่นับค่าคอน) ก็ใช้ไป 22,132.74 บาท (ค่าเครื่องบิน 9760 บาท, โรงแรม 3779 บาท) ครับ
สรุปแล้วทริปนี้ก็เป็นทริปที่สนุกมาก ถือว่าสมหวังระดับหนึ่งคือได้ไปเกาหลีใต้ ไปดูคอนเกิลเจนที่เกาหลีจริงๆ ซะที แต่ยังไม่สุดก็เพราะที่เที่ยวที่หวังไว้ยังไปไม่ครบเลย ก็ได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสไปซ้ำอีกให้หายอยากนะ ^^
ป.ล.
- สังเกตุว่าคนเกาหลีใช้ iPhone กับ Samsung เยอะมากรองลงมาคือ LG ยี่ห้ออื่นไม่เห็นเลย
- รถนี่ถ้าไม่ใช่แบรนด์เกาหลีก็พวกรถยุโรปอย่าง Benz BMW หรือ Bentley ไปเลย ไม่มีรถญี่ปุ่นให้เห็น
- Samsung กะ LG นี่ครองเทคโนโลยีที่โน่นจริงๆ (ถ้าไม่ใช่มือถือ)
- กล้องเห็นแต่ DSLR เป็นส่วนใหญ่ แทบไม่เห็น Mirrorless เลย
- สาวๆ เกาหลีสวยมาก ♥
13 thoughts on “สรุปทริปเกาหลี – Phantasia – in SEOUL”