เมื่อวันที่ 6-9 มีนาคมที่ผ่านมา ผมไปเที่ยวเมืองมะละกาและKuala Lumpur ของประเทศมาเลเซียมาครับ ทริปนี้เป็นการไปเที่ยวมาเลเซียรอบที่ 4 ของผมและเป็นการไปเที่ยวคนเดียวรอบที่ 3 (ซึ่ง 2 ครั้งก่อนหน้าก็มาเลเซียเช่นกัน: ครั้งที่ 1, ครั้งที่ 2)
โปรแกรมเที่ยวก็มีดังนี้
-
วันที่ 1: พฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม 2557
- นั่งเครื่องหางแดง AirAsia ไปมาเลเซีย ลงที่
สถานีขนส่งLCCT - นั่งรถบัสของบริษัท Transnasional (ซื้อตั๋วที่ฝั่งขาเข้าซึ่งปกติยามแม่งจะไม่ให้เข้า) ไปสถานีขนส่ง Melaka Sentral ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเศษๆ ก็ถึง
- นั่งรถเมล์สาย 17 ไปลงที่ Red Square (หรือจะเรียก Dutch Square ก็ได้นะ)
- เดินไปโรงแรม Hotel Hong ห้องพักสะอาด พนักงานบริการดีเลิศ แต่ไกลสัด
- ไปกินข้าวมันไก่ข้าวเหนียว (คือเข้ามันเป็นข้าวเหนียวกลมๆ) ที่ร้าน Famosa ไม่อร่อยเลย แพงด้วย
- ไป Red Square และตึกสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่อยู่ใกล้ๆ
- ไป The Ruins of St Paul (St. Paul’s Church, Malacca)
- ไป Menara Taming Sari ซึ่งเป็นหอชมวิวของเมืองมะละกา
- ไป Maritime Museum แต่มันปิด เลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่ข้างนอก
- ไปเดินห้าง Dataran Pahlawan
- เดินถนน Jonker พบว่ามันร้างมากๆ หลังทุ่มนึง ร้านที่เคยคึกคักปิดหมด ไม่มีข้าวกิน ต้องไปกินข้าวถนนที่ไกลออกไป (ซึ่งร้านส่วนใหญ่ก็ปิดหมด เขาไปเปิดกลางคืนกันคืนวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์แทนเพราะมีถนนคนเดิน)
- เดินชมวิวกินลม (ร้อนๆ) ริมแม่น้ำมะละกา
- นั่งเครื่องหางแดง AirAsia ไปมาเลเซีย ลงที่
-
วันที่ 2: ศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2557
- เดินถนน Tun Tan Cheng Lock หรือที่ชื่อเก่า Heeren Street
- เดินเล่นริมแม่น้ำมะละกายามเช้า
- กินข้าวมันไก่ข้าวเหนียวที่ร้าน Chung Wah ตอนเช้าไม่มีคิว อร่อย ถูก กาแฟแหล่ม แล้วไปกินบะหมี่ร้านใกล้ๆ กัน (ถนน Lorong Hang Jabet)
- เดินไปศาลเจ้าซำปอกง
- เดินเล่นแม่น้ำมะละกาต่ออีกจนหมดช่วงตึกที่เขาทาสีเป็น Graffiti
- กินขนมหวานร้าน Jonker 88 บนถนน Jonker อร่อย!!
- เดิน Baba & Nyonya House Museum
- กลับมากินข้าวกลางวันที่ร้าน Jonker 88 ก็อร่อยเหมือนกัน
- ไป Maritime Museum
- ไป Melaka Art Gallery/Youth Museum
- ไป Red Square
- ไป The Ruins of St Paul
- ไป Malacca Sultanate Palace Museum
- ไป Tranquerah Mosque
- ไป Sri Poyyatha Vinayagar Moorthi Temple
- เดินเล่นถนนรอบๆ โซน Jonker
- เดินเล่นถนนคนเดินที่ Jonker Street
- ล่องเรือเที่ยวแม่น้ำมะละกายามเย็นกับ Melaka River Cruise
- เดินเล่นถนนคนเดินที่ Jonker Street
-
วันที่ 3: เสาร์ที่ 8 มีนาคม 2557
- เดินเล่นย่านถนน Jonker เจอร้านอาหารเจ๋งๆ อีกเพียบเลย
- ไป Dutch Sqaure
- กลับโรงแรม เจ้าของโรงแรมขับรถพาไปส่งที่ Melaka Sentral แล้วพาไปซื้อตั๋วรถบัสของบริษัท Transnasional
- ใช้เวลา 2 ชั่วโมงมาถึง Terminal Bersepadu Selatan (TBS) ซึ่งเป็นสถานีขนส่งที่ทันสมัยที่สุดใน KL เลย
- นั่ง KLIA Transit เข้า KL ไปลงที่ KL Sentral
- เข้า Hostel Backhome แถวๆ สถานี LRT Masjid Jamek
- เดินไปถนน Petaling หรือ China Town เพื่อหาอะไรกิน
- นั่งรถใต้ดินไปต่อ monorail เพื่อไปย่าน Bukit Bintang
- เดินห้าง Lot 10
- เดินห้าง Fahrenheit 88
- เดินห้าง Pavilion
- เดินไป KLCC ที่เชื่อมกับห้าง Pavilion ทาง Skybridge แล้วเดินไป ตึกแฝด Petronas
- เดินห้าง Suria KLCC แล้วออกมาดูวิวตึกแฝดยามค่ำคืน
- กลับไปเดินเล่นถนน Petaling
-
วันที่ 4: อาทิตย์ที่ 9 มีนาคม 2557
- Checkout hostel แล้วไปเดิน จตุรัส Merdeka
- ไป KL City Gallery
- ไป Central Market
- กลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม แล้วไปฝากกระเป๋าที่ KL Sentral (ล็อกเกอร์ของสถานี 10 RM แต่มีร้านรับฝากอยู่ใกล้ๆ กัน 5 RM เอง)
- ไปงาน 100 Doraemon Secret Gadgets Expo ที่ห้าง Viva Home
- ไป National Mosque of Malaysia
- ไป Kuala Lumpur Railway Station
- กลับไป KL Sentral แล้วนั่ง KLIA Transit ไป LCCT
- นั่งเครื่องหางแดงกลับประเทศไทย
มะละกาเป็นเมืองเล็กๆ ที่หลายๆ คนบอกว่าถ้ายังไม่ได้มาเมืองนี้ถือว่ายังมาไม่ถึงมาเลเซียครับ เป็นเมืองสไตล์ชิโน-โปรตุกีสเช่นเดียวกับปีนังและยังเป็นเมืองมรดกเช่นเดียวกันด้วย เมืองนี้ผ่านประวัติศาสตร์มากมายตั้งแต่ยุคสุลต่าน, โปรตุเกสปกครอง, ฮอลันดาปกครอง, อังกฤษปกครองจนมาถึงยุคเอกราช เมืองนี้จริงๆ มันก็ใหญ่อยู่แต่ส่วนที่เป็นโซนมรดกโลกจริงๆ แล้วเล็กนิดเดียวครับ ใช้เวลาเดินจริงๆ 1 วันก็หมด ดังนั้นเราจึงเห็นคนส่วนมากมาค้างแค่ 1 คืนโดยตัดการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ออก แต่ถ้ารวมเที่ยวพิพิธภัณฑ์ด้วยก็คงต้องสัก 3 วันน่ะครับเพราะมีพิพิธภัณฑ์เยอะจริงๆ ขนาดผมไป 2 วันยังเก็บไม่หมดเลย
ตรงจุดที่เราเที่ยวกันส่วนใหญ่นี่มีแต่คนจีนอยู่ครับ (คนอินเดียอยู่อีกโซนที่อยู่ติดๆ กัน ส่วนมาเลย์ไม่รู้แฮะ) ช่วงที่ผมไปนี่ทัวร์จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, ฝรั่งและทัวร์ไทยเองไปเยอะมากกก พวก backpack ไปเองก็มีเยอะเช่นกัน ที่เห็นจะได้เปรียบคือพวกที่พูดจีนได้อย่างคนจีนหรือสิงคโปร์นี่เห็นคุยกันเป็นภาษาจีนกับคนที่นั่นเลย อาหารต่างๆ ก็เป็นจีนซะเกือบหมดเช่นบะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว (เขาเรียกก๋วยเตี๋ยวเหมือนเรา — หรือเราเอาคำนี้มาจากเขา) ข้าวมันไก่ ซึ่งข้าวมันไก่ที่นี่มีเอกลักษณ์คือข้าวมันจะปั้นเป็นก้อนกลมๆ ครับ ร้าน Famosa มีสาขาเยอะสุดแต่ไม่อร่อยและแพง ส่วนร้าน Chung Wah นี่อร่อย ถูก แต่คนเยอะมาก อยู่ที่เมืองนี้ผมก็ซัดแต่อาหารจีนเป็นหลัก อีกอย่างคือขนมหวานเมืองนี้จะราดน้ำสีน้ำตาลข้นๆ ที่รสหวานลงไปด้วยทำให้อร่อยมากๆ ครับ ผมกินตลอดเลย เมืองนี้สินค้าแปรรูปจากทุเรียนก็เยอะชนิดเมืองไทยอายไปเลย (ไอติมทุเรียน พัพทุเรียน ครีมทุเรียนงี้)
จุดเด่นอีกอย่างของเมืองนี้คือถนนที่ชื่อว่า Jonker Street ครับ มันเป็นถนนที่ทอดยาวและเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ มากมายในตึกแถวสไตล์ชิโน-โปรตุกีส มันเป็นถนนที่คึกคักตลอดวันทั้งร้านค้า บ้านที่มีคนอยู่จริงๆ สโมสรต่างๆ ของคนจีนและสุเหร่าและวัดฮินดูที่แทรกตัวอยู่ในย่านนั้นอย่างเนียนๆ โดยเฉพาะคืนวันศุกร์, เสาร์และอาทิตย์ที่มีถนนคนเดินนี่จะสุดๆ มากครับ ดีกว่าถนนคนเดินบ้านเราเยอะ แต่ถ้าคืนวันอื่นนี่เงียบกริบยังกับป่าช้า ดังนั้นใครจะไปก็ไปให้ติดคืนวันที่มีถนนคนเดินไว้ดีกว่า
การเดินทางในตัวเมืองนี่ใช้การเดินเป็นหลักครับ หรือจะนั่งสามล้อถีบอันมีเอกลักษณ์ก็ได้ นอกเมืองออกไปมี Melaka Sentral ที่เป็นสถานีขนส่งที่ใหญ่มาก มีรถไปสิงคโปร์ มีรถไป KL ทุกๆ ครึ่งชั่วโมงแต่เสือกมีรถสายเดียววิ่งเข้าส่วนมรดกโลก – -” อากาศก็ร้อนบัดซบสุดๆ มากกว่าบ้านเราเยอะ
สำหรับ KL นั้นผมมาเป็นรอบที่ 3 แล้ว รอบนี้พักแถวๆ ย่าน Masjid Jamek ซึ่งก็ใกล้ Chinatown ทำให้ไปหาอะไรกินที่นั่นตลอดจนทั้งทริปได้กินแต่อาหารจีน ไม่ได้แตะอาหารมาเลย์หรืออินเดียเลย – -” เมือง KL นี่ผมไปครั้งล่าสุดก็ 2-3 ปีที่แล้ว มารอบนี้พบว่าเมืองยังเหมือนเดิมแต่การเดินทางคมนาคมสะดวกขึ้นเยอะ รถไฟฟ้า, รถไฟและรถบัสครอบคลุมและเชื่อมต่อกันเนียนกว่าบ้านเรามากๆ (แต่ยังไม่เนียนแบบสิงคโปร์หรือฮ่องกงนะ) เช่นถ้ำบาตูที่แต่ก่อนต้องนั่งรถเมล์ไป 2 ชั่วโมงเดี๋ยวนี้ก็มีรถไฟไปถึงแล้ว สถานีขนส่งที่เจ๋งๆ อย่าง KL Sentral ก็มีระเบียบและเป็นที่เป็นทางขึ้นเยอะครับ ช่วงที่ผมไปนี่มีข่าวหมอกลง KL อยู่ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนะ แค่รู้สึกว่าฟ้ามันขมุกขมัวแปลกๆ (แต่ก็ร้อนเหมือนเดิม)
เหมียว
มะละกานี่แมวเยอะมากๆ ครับ
ทริปนี้เป็นการลุยเดี่ยวครั้งที่ 3 ของผมครับ แต่ก็เตรียมตัวง่ายกว่าเพราะอย่างมะละกาก็เมืองเล็กสุดๆ เดินหลงไปหลงมา+เปิด google map เดี๋ยวก็เจอ ส่วน KL ก็ไปมารอบที่ 3 แล้ว ก็เลยจัดทริปแบบหลวมๆ หน่อย ไม่ต้องข้อมูลเป๊ะๆ แต่คราวนี้ไม่ลืมที่จะดูข้อมูลที่ท่องเที่ยวต่างๆ ด้วยว่ามันปิดวันไหนบ้าง ปิดกี่โมง แต่ก็ยังพลาดอยู่ตรงไม่รู้ว่ามันมีปิดพักเที่ยงด้วย – -” รอบนี้ผมเอาแบตเตอรี่กล้องไปสำรอง 1 ก้อนกับ Powerbank มือถือไป 2 อัน (อันนึงพกอีกอันนึงใส่กระเป๋าเสื้อผ้า) ซึ่งก็ได้ใช้ทั้งแบตกล้องสำรองและ Powerbank ครับ แถมทริปนี้ยังเป็นทริปได้เจอคนไทยและคนต่างชาติแบบเที่ยวด้วยกันแป๊บๆ อยู่เยอะมากเลย (เจอคนไทยมามะละกาพร้อมกันแถมยังกลับพร้อมกัน เจอคนต่างชาติที่พักที่เดียวกันแล้วในอีกเมืองแล้วทักทายกัน ทำนองนี้)
รอบนี้ตอนไปถึงผมซื้อ sim ของ Digi ด้วย เป็นโปร 5 วัน 26 RM ตอนแรกเขาบอกว่าเล่นเนตได้ 1 GB แต่ไปๆ มาๆ 100mb แม่งก็ตัด – -” ไปเติมก็เข้าแต่ส่วนค่าโทรเพราะมันกลายเป็นโปร net 100mb ทุกๆ 5 วันแทน ทำให้วันสุดท้ายใน KL เลยทุลักทุเลหน่อย ซึ่งไอ้ 100mb นี่จริงๆ ถ้าใช้แค่ map มันก็พอนะครับ แต่ผม up รูปลง molome กับ instagram บ่อยก็เลยเต็มตั้งแต่เช้าวันสุดท้าย – -”
รอบนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ผมเที่ยวคนเดียวแล้วเลือกนอน Hostel ครับ โดยลองเอาคืนสุดท้าย (ที่พักใน KL นั่นแหละ) เพราะปกติผมจะนอน Hostel ในกรณีที่ไปกับเพื่อนๆ แล้วแชร์ห้องกับคนอื่นครับ ซึ่งไปนอนคนเดียวก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิดเท่าไหร่ ระวังเรื่องความปลอดภัยแล้วก็อย่าไปทำตัวให้คนอื่นรำคาญก็พอแล้ว
ที่ฮาที่สุดคือวันก่อนไปสัก 4 วัน AirAsia ดันยกเลิก flight กลับ (แต่บอกว่ายกเลิกทั้ง booking เลยนะ) เลยต้องเลื่อนไปกลับสามทุ่ม (จากตอนแรกกลับ 5 โมงเย็น) พวกแผนต่างๆ ที่วางไว้เลยต้องเปลี่ยนใหม่หมด ซึ่งหวยก็มาตกที่ไปงาน 100 Doraemon Secret Gadgets Expo ฆ่าเวลาเล่นๆ แทน
ทริปนี้ยังเป็นทริปที่ทำให้รู้ว่าการใช้รองเท้าผ้าใบดีๆ (ส่วนใหญ่ผมจะใส่แตะรัดส้น) และเป้สะพายหลัง day pack ดีๆ นั้นช่วยให้การเที่ยวนั้นสบายขึ้นมากเพียงไร ♥
สำหรับผมมะละกาเป็นเมืองที่น่าเที่ยวครับ เที่ยวได้สบายๆ วิวสวย ผู้คนใช้ภาษาอังกฤษได้ อาหารไม่มีปัญหาแน่นอน เพียงแต่จะไปไม่สะดวกเท่าไหร่ (ต้องนั่งรถต่อไปไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง) ส่วน KL นี่ไปสะดวก ที่เที่ยวที่ shopping ก็มี เพียงแต่ไปมา 4 รอบจนคิดว่าคงต้องพักๆ ประเทศนี้บ้างแล้วล่ะ
ป.ล. : ค่าใช้จ่ายทั้งหมดไม่รวมค่าบินและค่าที่พักอยู่ที่ประมาณ 5,800 บาทครับ
ป.ล.2: ทริปนี้เป็นทริปแรกที่ทดลองไม่บอกใน twitter และ facebook ว่าตัวเองไปไหนหรืออยู่ที่ไหน ชีวิตก็เงียบสงบดี
ป.ล.3: กล้องถ่ายรูปที่เห็นโดยทั่วไปคือ DSLR ของ Nikon, Canon และ Sony ส่วน mirrorless เห็น NEX เป็นส่วนใหญ่ EOS M บ้าง Lumix G กับ Pentax Q เห็นนิดหน่อย ไม่เห็น PEN และ OM-D เลย
ป.ล.4: มือถือและ tablet ที่เห็นโดยทั่วไปคือ iPhone, iPad และมือถือ/tablet ของ Samsung ครับ
2 thoughts on “สรุปทริปมะละกา-KL”