ต่อจากต่อก่อนหน้านี้นะครับ พอกินข้าวกินปลาเสร็จ พี่ไกด์ก็พาเราไป shopping ที่ตลาดซาจ๊ะซึ่งเป็นตลาดและแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองเสียมเรียบครับ
ตลาดซาจ๊ะนั้นมีทั้งตลาดเก่าและตลาดใหม่ครับ รถไปจอดข้างๆ ตลาดใหม่แล้วไกด์ก็แนะนำให้เดินตลาดเก่าก่อน ตลาดซาจ๊ะนั้นขายของที่ระลึกของกัมพูชาทุกอย่างทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ ตุ๊กตา magnet ฯลฯ ราคาก็ไม่แพงมาก เสื้อยืดตัวละ 80 – 50 บาทงี้ ต่อได้อีกตามความสามารถของแต่ละคน ซึ่งพี่สารุณไกด์เขมรเราก็บอกว่าตัวละ 50 ก็ถูกแล้วคร๊าบบ ไม่ต้องต่อเหลือตัวละ 20 – 30 บาทหร๊อกก
ไอติมเขมร
เด็กๆ เล่นน้ำในแม่น้ำเสียมเรียบ
สำหรับตลาดซาจ๊ะเก่านั้นจะพิเศษตรงที่ว่ามีตลาดสดที่ชาวเสียมเรียบมาซื้อของในชีวิตประจำวันกันด้วย
อั้ม!!!!
อันนี้ไม่รู้ว่าอะไร
ของที่ระลึกอันดับหนึ่งครับ
ด้านในฝั่งขายของที่ระลึกมีร้านเยอะมากครับ เจอคนไทยและฝรั่งต่อราคากับพ่อค้าแม่ค้ากันเพลินเลย ผมเองก็ซื้อพวก magnet ตุ๊กตา postcard ที่ตลาดเก่าเพราะเจอร้านนี้บอกราคาแรกไม่กะฟันมากนัก ไม่เหมือนร้านอื่นที่ราคาเปิดกะฟันอย่างเดียว
นี่มันคิตตี้อะไร!!
คนปูนคงชอบ (มั้ง)
หูฟัง Beats ก็ป๊อบ
เดินในนี้สักพักก็เดินไปตลาดซาจ๊ะใหม่ที่อยู่ไม่ไกลกันครับ ตลาดนี้มีแต่ขายของที่ระลึกอย่างเดียว หลายๆ อย่างถูกกว่าตลาดเก่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่ากริบมากครับ คือคนแทบจะไม่เดินเลย ผมเองได้เสื้อยืดมาตัวราคา 60 บาท ซึ่งก็ขอเตือนคนที่จะซื้อที่นี่ทุกคนว่าให้ซื้อตัวใหญ่กว่าตัวเราหน่อย เพราะว่าซักแล้วมันจะหด ผมซื้อมาพอดีๆ ซักแล้วตัวเล็กเลย -*-
ในตลาดซาจ๊ะใหม่มีร้านขายอาหารแนวๆ คาเฟ่ด้วยครับ ขายน้ำดื่มให้นักท่องเที่ยวราคาฟันมากคือโค๊กกระป๋องละ 50 บาท ผมกับแม่เดินเลี่ยงๆ ไปเจอร้านที่เน้นขายคนเขมรด้วยกันเอง โค๊กกระป๋องละ 20 บาทก็ถือว่าโอเคอยู่
shopping กันเสร็จก่อนจะกลับผมลืมซื้อของไปอย่างที่ตลาดเก่า เลยบอกให้รอแป๊บแล้วรีบวิ่งไปซื้อก่อน แล้วก็รีบกลับมาขึ้นรถเพื่อที่จะนั่งยาวไปปอยเปตครับ ระหว่างทางกลับพี่ไกด์เขมรก็เล่าให้ฟังว่าเรียนภาษาไทยกับอังกฤษสมัยบวชเป็นพระ เรียนที่กรุงเทพนี่แหละครับ เป็นโปรแกรมทุนการศึกษานึงของเขมรเลย ตอนนี้ก็เป็นเด็กวัดอยู่ วันไหนไม่มีงานไกด์ก็ช่วยงานที่วัดไป
ถนนกลับปอยเปตเรียบดีมาก ผมหลับยาวเลยยย รถแวะพักจุดเข้าห้องน้ำร้านเดิม รอบนี้เลยซื้อกล้วยปิ้งเขมรมาเยอะๆ แล้วถ่ายรูปไว้ด้วย แปลกดีครับ
ก่อนจะถึงด่านก็เจอว่าตำรวจเขมรไม่ยอมให้รถผ่านเพราะอะไรสักอย่าง จนไกด์เขมรเราต้องลงไปเคลียร์ (เหมือนจะจ่ายเงินให้) ถึงได้เอารถผ่านเข้ามาได้
ก่อนจะถึง ตม รถก็จอดแถวๆ ย่านคาสิโนแล้วหลังจากนี้เราต้องเดินไปเอง (มีคนขนกระเป๋าให้) หลังจากบอกลาพี่ไกด์และคนขับรถเขมรพวกเราก็รอคนไทยในทัวร์ด้วยกันเองตรงจุดนี้อยู่เกือบชั่วโมงเพราะเข้าห้องน้ำในคาสิโนนี่แหละไม่รู้อะไรกันนักหนา แล้วก็เดินไปเข้า ตม ครับ เนื่องด้วยเรามาทัวร์ เราเลยผ่านตมเขมรมาได้ง่ายดาย แซงคิวนักท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ค้าที่รอกลับไทยกันได้สบาย ด่านอะไรที่ฝรั่งไปต่อยาวๆ ตะกี้ก็ไม่ต้องต่อ สบายๆๆ ฮ่าๆ
หลังจากนั้นเราก็นั่งรถตู้จากโรงเกลือกลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพครับ
ก็ขอจบ trip เขมรไว้เพียงเท่านี้ครับ ทริปนี้เป็นทริปที่สนุกมาก ผมได้อะไรหลายๆ อย่างทั้งการได้มาสัมผัสหนึ่งในรากเหง้าต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมของเรา, ได้มาเห็นนครวัดด้วยตาตนเองและได้รับรู้ความใจแคบของคนไทยบางคน (ตามตำราเผด็จการ ล้าหลัง คลั่งชาติแด๊ะๆ) ผมสัญญากับตัวเองว่าต้องมาเที่ยวเขมรซ้ำแน่นอน โดยเฉพาะนครวัดจะขอ 2 – 3 วันเลย ^^
ป.ล. ก่อนจากอยากจะฝาก quote สรุปความสัมพันธ์ระหว่างเรากับกัมพูชาที่ผมว่าดีที่สุดจากอาจารย์ศานติ ภักดีคำ ไว้ด้วยครับ
กัมพูชา (และลาว) ดูจะเป็นประเทศที่ใกล้ชิดที่สุดกับไทย มีทั้งความเป็นเครือญาติ และมีทั้งความเหมือนๆ กันในด้านของภาษาและวัฒนธรรม แต่ทั้งกัมพูชา (และลาว) กับไทยนั้น ดูจะไม่เข้าใจกัน ไม่รู้จักกันและมีปัญหาความสัมพันธ์ที่ “ละเอียดอ่อน” ที่สุด สามารถจะระเบิดตึงตัง ร้ายแรงขนาดเผาสถานทูตกันได้ หรือปะทะเป็นการสู้รบเล็กน้อยตามชายแดน ที่อาจขยายเป็น “สงคราม” ก็ได้